การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์......ป้องกันและรักษาได้เอชไอวี เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันบกพร่องในคน ส่วนโรคเอดส์ หมายถึงกลุ่มอาการของภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ได้เป็นแต่กำเนิด ปัจจุบันนี้การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของโลกและประเทศไทย จากรายงานขององค์การอนามัยโลกคาดว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลกประมาณ 35 ล้านคนเมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2555 สำหรับในประเทศไทยมีรายงานผู้ติดเชื้อเอชไอวีเกือบ 6 แสนคน และเสียชีวิตประมาณ 3 หมื่นคน ความชุกของการติดเชื้อเอชไอวีเท่ากับร้อยละ 1.4 แต่ในความเป็นจริงคาดว่า มีผู้ติดเชื้อสะสมประมาณ 1 ล้านคน ตั้งแต่พบผู้ติดเชื้อรายแรกในประเทศเมื่อปี 2530 การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์เป็นโรคที่รักษาได้แต่ไม่หายขาด เป็นโรคติดต่อเรื้อรังเหมือนโรคความดันโลหิตสูงและเบาหวาน แต่ 2 โรคหลังนี้ไม่ได้เป็นโรคติดต่อ ทางหลักของการติดต่อที่พบมากที่สุดในประเทศไทยคือ ทางเพศสัมพันธ์ทั้งที่เป็นเพศเดียวกันหรือต่างเพศ ส่วนการติดต่อทางอื่นที่พบได้คือ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน รวมถึงการสักและจากมารดาสู่ทารก หลังจากได้รับเชื้อเอชไอวีในช่วงแรกผู้ป่วยอาจจะไม่มีอาการใดๆ เลยก็ได้ ผู้ติดเชื้อครึ่งหนึ่งอาจมีอาการคล้ายไข้หวัด หลังจากนั้นอาการจะดีขึ้นเอง แม้ไม่ได้รับการรักษาและจะเข้าสู่ระยะติดเชื้อที่ไม่มีอาการ เนื่องจากเชื้อไวรัสมีการแบ่งตัวตลอดเวลาจึงทำให้เม็ดเลือดขาวซีดีสี่ ซึ่งมีหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรคลดต่ำลงไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่ระยะมีอาการเช่น น้ำหนักลด, ฝ้าขาวในปาก, ท้องเสียเรื้อรังหรือมีตุ่มคันขึ้นตามแขนขา และระยะสุดท้ายคือ เอดส์ ซึ่งเป็นระยะที่เม็ดเลือดขาวซีดีสี่ต่ำมากและหรือมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแทรกซ้อนเช่น วัณโรคหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา เป็นต้น ซึ่ง 2 ระยะหลังนี้ทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์และได้รับการวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อเอชไอวี นอกจากการให้ยาเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อฉวยโอกาสในผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ภูมิคุ้มกันต่ำมากแล้ว หัวใจสำคัญที่สุดของการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีคือ การรักษาด้วยยาต้านเอชไอวี การใช้ยาอย่างน้อย 3 ชนิดรวมกันเป็นสูตรยาที่เหมาะสมและถูกต้อง จะนำไปสู่การรักษาการติดเชื้อเอชไอวีที่ควบคุมได้คือ ไม่สามารถตรวจพบไวรัสในเลือด ทำให้มีภูมิคุ้มกันดีขึ้นหรือจำนวนเม็ดเลือดขาวซีดีสี่สูงขึ้น มีอุบัติการณ์ของโรคติดเชื้อฉวยโอกาสลดลง อัตราตายลดลงและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น เนื่องจากยังไม่มียาต้านเอชไอวีชนิดใดที่สามารถรักษาการติดเชื้อเอชไอวีให้หายขาดหรือยับยั้งการดำเนินของโรคได้นานตลอดไป | ||||
เนื่องจากการติดเชื้อเอชไอวียังเป็นโรคที่ยังรักษาไม่หายขาดในขณะนี้ การป้องกันการติดเชื้อจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ วิธีที่ยังมีประสิทธิภาพสูงที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์คือ การใช้ถุงยางอนามัย ทั้งถุงยางอนามัยสำหรับเพศชายและถุงยางอนามัยสำหรับเพศหญิง แต่ถุงยางอนามัยสำหรับเพศหญิงนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยม เนื่องจากมีราคาแพงและใช้ไม่สะดวก ส่วนการป้องกันการติดเชื้อจากมารดาสู่ทารกคือ การให้ยาต้านเอชไอวีแก่มารดาที่ติดเชื้อและการให้ยาในเด็กทารกแรกเกิด ซึ่งมีประสิทธิภาพลดการติดเชื้อเอชไอวีจากมารดาสู่ทารกได้เหลือน้อยกว่าร้อยละ 2 แต่ปัญหาที่พบคือ มารดามาฝากครรภ์ช้าหรือไม่ได้ฝากครรภ์ จึงไม่ได้รับยาต้านเอชไอวีเพื่อการป้องกัน จึงยังพบเด็กที่มีการติดเชื้อรายใหม่อยู่เรื่อยๆ การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในผู้ที่ติดยาเสพติดชนิดฉีดคือ การใช้เข็มฉีดยาที่สะอาดและไม่ใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น แต่การที่ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะที่เป็นการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงเป็นข้อมูลที่แสดงว่ามีการใช้ถุงยางอนามัยลดลง ผู้วิจัยหลายกลุ่มจึงได้มีการพัฒนาและวิจัยวิธีการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีใหม่ๆ เพื่อเสริมกับประสิทธิภาพของการใช้ถุงยางอนามัย โดยในช่วง 2-3 ปีนี้มีผลงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์หลายการศึกษาโดยเฉพาะการใช้ต้านเอชไอวีที่ใช้รักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีมาเป็นเครื่องมือในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนที่จะได้รับเชื้อในผู้ที่มีความเสี่ยง มีหลายการศึกษาที่แสดงว่าเมื่อผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี เช่น เป็นชายรักชาย ผู้ที่ติดยาเสพติดชนิดฉีดหรือผู้ที่ยังไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวีแต่มีคู่ที่ติดเชื้อเอชไอวี กินยาต้านเอชไอวีชนิดเดียวกับที่ใช้รักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี จะมีการติดเชื้อเอชไอวีลดลง โดยยาต้านเอชไอวีมีประสิทธิภาพประมาณร้อยละ 40-50 แต่การกินยาต้านเอชไอวีนี้เป็นการป้องกันเสริมหรือร่วมกับการใช้ถุงยางอนามัย นอกจากนี้ยังมีการพัฒนายาต้านเอชไอวีเป็นรูปแบบเจล เพื่อให้ผู้หญิงที่ยังไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวีใช้ใส่เข้าไปในช่องคลอด ทั้งก่อนและหลังการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นเครื่องมือป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีอย่างแรกที่ผู้หญิงสามารถเลือกใช้ได้ในกรณีที่ผู้ชายไม่ยอมใส่ถุงยางอนามัย แม้ว่าประสิทธิภาพของเจลชนิดนี้ในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีไม่สูงมากคือ ประมาณร้อยละ 40 และยังขึ้นกับความสม่ำเสมอในการใช้เจล นอกจากนี้ ยังมีหลักการที่ใช้ยาต้านเอชไอวีรักษาผู้ติดเชื้อ และในขณะเดียวกันยังเป็นเครื่องมือในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีไปสู่คู่ที่ยังไม่ได้ติดเชื้อ หมายถึงเมื่อให้การรักษาการติดเชื้อเอชไอวีคนนั้นๆ แล้ว จะทำให้ปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือดลดลง ส่งผลให้ปริมาณเชื้อเอชไอวีในสิ่งคัดหลั่งที่อวัยวะเพศลดลง และลดการติดต่อของเชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ ซึ่งหลักการนี้สามารถลดการติดเชื้อไปสู่คู่ที่ยังไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวีได้สูงถึงร้อยละ 96 ซึ่งถือได้ว่าเป็นวิธีการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด โดยสรุป การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์สามารถป้องกันได้ โดยการลดพฤติกรรมเสี่ยง และการป้องกันโดยวิธีต่างๆ ที่ขึ้นกับพฤติกรรมเสี่ยงนั้น ในปัจจุบันยังมีการศึกษาวิจัยและพัฒนายาใหม่ๆ รวมไปถึงการวิจัยที่จะทำให้การรักษาเป็นแบบหายขาด อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มักได้รับการวินิจฉัยช้า ไม่ได้มีการตรวจเลือดคัดกรองโดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยง รวมไปถึงหญิงตั้งครรภ์ ส่งผลให้ได้รับการรักษาช้า ซึ่งอาจจะทำให้มีผลการรักษาที่ไม่ได้หรือเกิดผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนตามมา |
วิธีการแก้ไขปัญหาน้ำกระด้างถาวร น้ำกระด้างชั่วคราว แบบได้ผลจริง
น้ำกระด้าง หมายถึง น้ำที่มีหินปูนเจือปนอยู่ในน้ำ ซึ่งทำให้คุณสมบัติของนั้นเป็นด่าง ซึ่งไม่สามารถนำมาใช้งานได้ดีเท่าที่ควร ยกตัวอย่างเช่น เมื่อนำน้ำชนิดนี้ไปหุงข้าว จะทำให้ข้าวออกมาสีเหลืองไม่น่ารับประทาน และเมื่อนำไปใช้ซักผ้า ความเป็นด่างของมันจะเป็นตัวทำให้ผงซักผ้าไม่เกิดฟอง แม้แต่การนำไปใช้ในการเกษตร น้ำกระด้างนั้นไม่เหมาะสำหรับพืชหลายชนิด รวมไปถึงการเลี้ยงสัตว์หลายชนิดเช่นกัน ดังนั้นจึงนับได้ว่า น้ำกระด้างไม่เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวันสักเท่าไหร่นัก แต่หลายๆ คนก็มักจะถามเข้ามาอยู่บ่อยๆ ถึงวิธีการแก้ไขน้ำกระด้างที่สามารถใช้งานได้ เพราะในบางพื้นที่น้ำที่นำมาใช้งานมักจะมาส่วนของน้ำกระด้างเจือปนอยู่นั่นเอง วันนี้เราจึงอยากจะแนะนำวิธีการทำให้น้ำกระด้างนั้นอ่อนลงและพอที่จะใช้งานได้มาฝากกันครับ โดยสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้

1. น้ำกระด้างชั่วคราว (น้ำที่สามารถกำจัดความกระด้างให้หายไปด้วยการต้ม พบได้ในแม่น้ำลำคลอง)
- นำไปต้ม เพราะ น้ำกระด้างชั่วคราวนี้จะสามารถกำจัดความกระด้างออกไปด้วยการต้ม ซึ่งความร้อนจะทำให้ไบคาร์บอเนตของแคลเซียมและแม็กนีเซียม ซึ่งเกาะตัวรวมกับโมเลกุลของน้ำระเหยไป และทำให้เกิดตะกอน สามารถแก้ไขได้ด้วยการกรอง
- การเติมปูนขาว
2. น้ำกระด้างถาวร (ไม่สามารถจัดได้ด้วยการต้ม เพราะ มีสารจำพวกแคลเซียมคลอไรด์ แคลเซียมซัลเฟต แม็กนีเซียมคลอไรด์ และแม็กนีเซียมซัลเฟตเจือปนอยู่)
- สามารถแก้ไขได้ โดยวิธีการกลั่น โดยจะเป็นการเปลี่ยนสถานะของน้ำจากของเหลวกลายเป็นไอ ก่อนจะกลับมาเป็นของเหลวอีกทีหนึ่ง ซึ่งเมื่อน้ำกลายเป็นไอนั้น ตัวสารที่เจือปนอยู่ในน้ำจะตกผลึกออกมาเพราะเป็นสารที่มีน้ำหนัก
- ในการแก้ไขจริงๆ แล้วมักจะใช้เครื่องกรองเรซิ่น ซึ่งเม็ดเรซิ่นในเครื่องกรองจะดักจับหินปูนภายในน้ำแล้วกรองออก และจากนั้นให้นำเอาตัวกรองออกมาล้างโดยใช้น้ำเกลือ เพื่อให้น้ำเกลือนั้นไปจับผลึกหินปูนออกมาจากเรซิ่นนั่นเองครับ
- ใช้โซดาแอช ซึ่งเจ้าโซดาแอชนี้จะไปทำปฏิกิริยากับสารแคลเซียมคลอไรด์ แคลเซียมซัลเฟต แม็กนีเซียมคลอไรด์ และแม็กนีเซียมซัลเฟต ที่อยู่ภายในน้ำกระด้าง และทำให้เกิดการตกตะกอนละเอียด ซึ่งวิธีนี้จำเป็นต้องใช้ร่วมกับสารส้ม เพื่อให้ตะกอนนั้นรวมกันกลายเป็นก้อนใหญ่และสามารถกรองออกได้
จะว่าไปแล้วน้ำกระด้างก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์เสียทีเดียวนะครับ เพราะน้ำดื่มของคนเราเองนั้นก็มีคุณสมบัติออกไปในทางกระด้างอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ควรเป็นน้ำที่มีตะกอนสูงหรือกระด้างมากนัก และน้ำกระด้างถาวรนั้นไม่ควรนำไปต้ม เพราะ ผลึกหินปูนจะไปเกาะตามหม้อหรือกา อาจทำหม้อระเบิดหรือสิ้นเปลืองพลังงานในการต้มได้ครับ