วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์......ป้องกันและรักษาได้


      

การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์......ป้องกันและรักษาได้


   

       เอชไอวี เป็นเชื้อไวรัสที่ก่อให้เกิดภูมิคุ้มกันบกพร่องในคน ส่วนโรคเอดส์ หมายถึงกลุ่มอาการของภูมิคุ้มกันบกพร่องที่ไม่ได้เป็นแต่กำเนิด ปัจจุบันนี้การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์ยังเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของโลกและประเทศไทย จากรายงานขององค์การอนามัยโลกคาดว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลกประมาณ 35 ล้านคนเมื่อสิ้นปี พ.ศ. 2555 สำหรับในประเทศไทยมีรายงานผู้ติดเชื้อเอชไอวีเกือบ 6 แสนคน และเสียชีวิตประมาณ 3 หมื่นคน ความชุกของการติดเชื้อเอชไอวีเท่ากับร้อยละ 1.4 แต่ในความเป็นจริงคาดว่า มีผู้ติดเชื้อสะสมประมาณ 1 ล้านคน ตั้งแต่พบผู้ติดเชื้อรายแรกในประเทศเมื่อปี 2530
      
       การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์เป็นโรคที่รักษาได้แต่ไม่หายขาด เป็นโรคติดต่อเรื้อรังเหมือนโรคความดันโลหิตสูงและเบาหวาน แต่ 2 โรคหลังนี้ไม่ได้เป็นโรคติดต่อ ทางหลักของการติดต่อที่พบมากที่สุดในประเทศไทยคือ ทางเพศสัมพันธ์ทั้งที่เป็นเพศเดียวกันหรือต่างเพศ ส่วนการติดต่อทางอื่นที่พบได้คือ การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน รวมถึงการสักและจากมารดาสู่ทารก หลังจากได้รับเชื้อเอชไอวีในช่วงแรกผู้ป่วยอาจจะไม่มีอาการใดๆ เลยก็ได้ ผู้ติดเชื้อครึ่งหนึ่งอาจมีอาการคล้ายไข้หวัด หลังจากนั้นอาการจะดีขึ้นเอง แม้ไม่ได้รับการรักษาและจะเข้าสู่ระยะติดเชื้อที่ไม่มีอาการ
      
       เนื่องจากเชื้อไวรัสมีการแบ่งตัวตลอดเวลาจึงทำให้เม็ดเลือดขาวซีดีสี่ ซึ่งมีหน้าที่ต่อสู้กับเชื้อโรคลดต่ำลงไปเรื่อยๆ หลังจากนั้นก็จะเข้าสู่ระยะมีอาการเช่น น้ำหนักลด, ฝ้าขาวในปาก, ท้องเสียเรื้อรังหรือมีตุ่มคันขึ้นตามแขนขา และระยะสุดท้ายคือ เอดส์ ซึ่งเป็นระยะที่เม็ดเลือดขาวซีดีสี่ต่ำมากและหรือมีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแทรกซ้อนเช่น วัณโรคหรือเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อรา เป็นต้น ซึ่ง 2 ระยะหลังนี้ทำให้ผู้ป่วยมาพบแพทย์และได้รับการวินิจฉัยว่ามีการติดเชื้อเอชไอวี
      
       นอกจากการให้ยาเพื่อป้องกันโรคติดเชื้อฉวยโอกาสในผู้ติดเชื้อเอชไอวีที่ภูมิคุ้มกันต่ำมากแล้ว หัวใจสำคัญที่สุดของการรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีคือ การรักษาด้วยยาต้านเอชไอวี การใช้ยาอย่างน้อย 3 ชนิดรวมกันเป็นสูตรยาที่เหมาะสมและถูกต้อง จะนำไปสู่การรักษาการติดเชื้อเอชไอวีที่ควบคุมได้คือ ไม่สามารถตรวจพบไวรัสในเลือด ทำให้มีภูมิคุ้มกันดีขึ้นหรือจำนวนเม็ดเลือดขาวซีดีสี่สูงขึ้น มีอุบัติการณ์ของโรคติดเชื้อฉวยโอกาสลดลง อัตราตายลดลงและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น เนื่องจากยังไม่มียาต้านเอชไอวีชนิดใดที่สามารถรักษาการติดเชื้อเอชไอวีให้หายขาดหรือยับยั้งการดำเนินของโรคได้นานตลอดไป
การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์......ป้องกันและรักษาได้
       ดังนั้น ผู้ติดเชื้อเอชไอวีจึงต้องกินยาทุกวันตลอดชีวิต ในปัจจุบันได้มีการพัฒนายาชนิดใหม่ๆ ที่กินง่าย มีผลข้างเคียงน้อย หรือเป็นแบบรวมเม็ดที่กินวันละ 1 เม็ด และมีราคาถูกลงกว่าเดิมมาก รวมไปถึงมีการพัฒนารูปแบบยาให้เป็นแบบฉีดและยาที่ออกฤทธิ์ในนาน นอกจากนี้ยังมีการศึกษาวิจัยที่จะพยายามทำให้โรคหายขาด ซึ่งตอนนี้มีอยู่ 2 หลักการที่อาจจะเป็นไปได้ในอนาคตอันใกล้คือ การรักษาเร็วตั้งแต่ที่มีการติดเชื้อใหม่ๆ แต่ปัญหาคือผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่ทราบว่าตนเองติดเชื้อเมื่อมีอาการหรือติดเชื้อมานานแล้ว และการปลูกถ่ายไขกระดูก ซึ่งทั้ง 2 หลักการนี้ยังคงต้องรอการศึกษาเพิ่มเติมต่อไป
      
       เนื่องจากการติดเชื้อเอชไอวียังเป็นโรคที่ยังรักษาไม่หายขาดในขณะนี้ การป้องกันการติดเชื้อจึงเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ วิธีที่ยังมีประสิทธิภาพสูงที่สุดในการป้องกันการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์คือ การใช้ถุงยางอนามัย ทั้งถุงยางอนามัยสำหรับเพศชายและถุงยางอนามัยสำหรับเพศหญิง แต่ถุงยางอนามัยสำหรับเพศหญิงนี้ไม่ค่อยได้รับความนิยม เนื่องจากมีราคาแพงและใช้ไม่สะดวก ส่วนการป้องกันการติดเชื้อจากมารดาสู่ทารกคือ การให้ยาต้านเอชไอวีแก่มารดาที่ติดเชื้อและการให้ยาในเด็กทารกแรกเกิด ซึ่งมีประสิทธิภาพลดการติดเชื้อเอชไอวีจากมารดาสู่ทารกได้เหลือน้อยกว่าร้อยละ 2 แต่ปัญหาที่พบคือ มารดามาฝากครรภ์ช้าหรือไม่ได้ฝากครรภ์ จึงไม่ได้รับยาต้านเอชไอวีเพื่อการป้องกัน จึงยังพบเด็กที่มีการติดเชื้อรายใหม่อยู่เรื่อยๆ
      
       การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีในผู้ที่ติดยาเสพติดชนิดฉีดคือ การใช้เข็มฉีดยาที่สะอาดและไม่ใช้เข็มร่วมกับผู้อื่น แต่การที่ยังมีจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะที่เป็นการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงเป็นข้อมูลที่แสดงว่ามีการใช้ถุงยางอนามัยลดลง ผู้วิจัยหลายกลุ่มจึงได้มีการพัฒนาและวิจัยวิธีการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีใหม่ๆ เพื่อเสริมกับประสิทธิภาพของการใช้ถุงยางอนามัย โดยในช่วง 2-3 ปีนี้มีผลงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์หลายการศึกษาโดยเฉพาะการใช้ต้านเอชไอวีที่ใช้รักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีมาเป็นเครื่องมือในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนที่จะได้รับเชื้อในผู้ที่มีความเสี่ยง
      
       มีหลายการศึกษาที่แสดงว่าเมื่อผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี เช่น เป็นชายรักชาย ผู้ที่ติดยาเสพติดชนิดฉีดหรือผู้ที่ยังไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวีแต่มีคู่ที่ติดเชื้อเอชไอวี กินยาต้านเอชไอวีชนิดเดียวกับที่ใช้รักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี จะมีการติดเชื้อเอชไอวีลดลง โดยยาต้านเอชไอวีมีประสิทธิภาพประมาณร้อยละ 40-50 แต่การกินยาต้านเอชไอวีนี้เป็นการป้องกันเสริมหรือร่วมกับการใช้ถุงยางอนามัย นอกจากนี้ยังมีการพัฒนายาต้านเอชไอวีเป็นรูปแบบเจล เพื่อให้ผู้หญิงที่ยังไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวีใช้ใส่เข้าไปในช่องคลอด ทั้งก่อนและหลังการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งถือได้ว่าเป็นเครื่องมือป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีอย่างแรกที่ผู้หญิงสามารถเลือกใช้ได้ในกรณีที่ผู้ชายไม่ยอมใส่ถุงยางอนามัย แม้ว่าประสิทธิภาพของเจลชนิดนี้ในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีไม่สูงมากคือ ประมาณร้อยละ 40 และยังขึ้นกับความสม่ำเสมอในการใช้เจล
      
       นอกจากนี้ ยังมีหลักการที่ใช้ยาต้านเอชไอวีรักษาผู้ติดเชื้อ และในขณะเดียวกันยังเป็นเครื่องมือในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีไปสู่คู่ที่ยังไม่ได้ติดเชื้อ หมายถึงเมื่อให้การรักษาการติดเชื้อเอชไอวีคนนั้นๆ แล้ว จะทำให้ปริมาณเชื้อเอชไอวีในเลือดลดลง ส่งผลให้ปริมาณเชื้อเอชไอวีในสิ่งคัดหลั่งที่อวัยวะเพศลดลง และลดการติดต่อของเชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ ซึ่งหลักการนี้สามารถลดการติดเชื้อไปสู่คู่ที่ยังไม่ได้ติดเชื้อเอชไอวีได้สูงถึงร้อยละ 96 ซึ่งถือได้ว่าเป็นวิธีการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุด
      
       โดยสรุป การติดเชื้อเอชไอวีและโรคเอดส์สามารถป้องกันได้ โดยการลดพฤติกรรมเสี่ยง และการป้องกันโดยวิธีต่างๆ ที่ขึ้นกับพฤติกรรมเสี่ยงนั้น ในปัจจุบันยังมีการศึกษาวิจัยและพัฒนายาใหม่ๆ รวมไปถึงการวิจัยที่จะทำให้การรักษาเป็นแบบหายขาด อย่างไรก็ตาม ผู้ที่ติดเชื้อส่วนใหญ่มักได้รับการวินิจฉัยช้า ไม่ได้มีการตรวจเลือดคัดกรองโดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยง รวมไปถึงหญิงตั้งครรภ์ ส่งผลให้ได้รับการรักษาช้า ซึ่งอาจจะทำให้มีผลการรักษาที่ไม่ได้หรือเกิดผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนตามมา

วันอาทิตย์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2557

4 สิ่งจำเป็น สำหรับการเตรียมตัวก่อนไปเที่ยวทะเล เพื่อวันพักผ่อนที่แสนสบาย

4 สิ่งจำเป็น สำหรับการเตรียมตัวก่อนไปเที่ยวทะเล เพื่อวันพักผ่อนที่แสนสบาย

      แม้ว่าช่วงนี้กำลังจะเข้าสู่หน้าหนาว แต่ทะเลบ้านเรานั้นก็ยังได้รับความนิยมในด้านการท่องเที่ยวตลอดทั้งปีครับ โดยเฉพาะภาคใต้นั้น สาเหตุก็เพราะทะเลบ้านเราไม่มีได้รับอิทธิพลจากความหนาวเย็นเหมือนภาคอื่นๆ ทางตอนบน ดังนั้นจึงมักจะมีนักท่องเที่ยวจากที่ต่างๆ แวะเวียนกันไปพักผ่อนอยู่ตลอดทั้งปี (ที่ต้องระวังก็แค่มรสุม) และวันนี้เราจะมานำเสนอวิธีการเตรียมตัวก่อนไปเที่ยวทะเลกันครับ ว่าเราควรเตรียมตัวอย่างไร เพื่อจะไม่ให้วันท่องเที่ยวของเราต้องฉุกละหุก
4 สิ่งจำเป็น สำหรับการเตรียมตัวก่อนไปเที่ยวทะเล เพื่อวันพักผ่อนที่แสนสบาย
       1. เสื้อผ้า อันดับแรกเลยที่สำคัญเราต้องเตรียมเสื้อผ้าไป โดยเฉพาะชุดว่ายน้ำหากต้องการเน้นที่กิจกรรมในทะเล เช่นลงเล่นน้ำ ดำน้ำ หรือนอนอาบแดดตามหาดทราย ซึ่งต้องใช้ชุดที่เหมาะสมกับสภาพสิ่งแวดล้อม ทะเลบ้านเรานั้นเป็นทะเลที่มีอากาศร้อน ดังนั้นชุดที่เตรียมไปควรเป็นชุดที่ใส่สบาย และไม่ฟิตจนเกินไปนัก แต่ก็อย่าให้ล่อแหลมมากนักนะครับ สำหรับคุณผู้หญิงทั้งหลาย
       2. ครีมกันแดด แน่นอนว่ากิจกรรมยอดฮิตอีกอย่างหนึ่งของการเที่ยวทะเลคือการอาบแดด แต่สำหรับทะเลบ้านเราก็อย่างที่บอก ว่าเป็นทะเลในโซนร้อน แดดยามกลางวันก็จัดได้ว่าร้อนมากกว่าทะเลในโซนยุโรป หรืออเมริกา ดังนั้นสิ่งที่ควรเตรียมไปด้วยสำหรับผู้ชื่นชอบการอาบแดดเป็นชีวิตจิตใจก็คือ ครีมกันแดดนั่นเองครับ ซึ่งควรจะเป็นครีมที่มีค่า SPF สูงสักหน่อย (ดูที่ข้างผลิตภัณฑ์) ซึ่งค่าที่แนะนำคือ SPF 30-50 ขึ้นไปจะดีที่สุดครับ
      3. ของใช้ส่วนตัวต่างๆ เช่น ยาสีฟัน แปรงสีฟัน ครีมอาบน้ำ แชมพู ซึ่งของเหล่านี้บางคนอาจจะแย้งว่าไม่จำเป็นต้องเอาไปด้วยก็ได้ เพราะมีขายอยู่ทุกที่ แต่ขอแนะนำว่าการเตรียมตัวไปล่วงหน้าจะดีที่สุดครับ เพราะบางทีไปถึงที่เที่ยวแล้วเกิดลืมซื้อขึ้นมา ก็จะทำให้ฉุกละหุกขึ้นมาได้ หรือบางสถานที่ก็ไม่มีร้านขายของเสียอีก ดังนั้นการจัดเตรียมของเหล่านี้ไปจากบ้านจะดีกว่า
      4. กล้องถ่ายรูป สำหรับเก็บบันทึกความทรงจำ และภาพสวยๆ ที่ได้จากการท่องเที่ยว เพราะคงไม่มีใครอยากจะไปเที่ยวเฉยๆ กันหรอกนะครับสมัยนี้ ภาพสวยๆ ที่คุณได้มานั้น นอกจากจะเก็บไว้เป็นความทรงจำส่วนตัวแล้ว ยังสามารถแบ่งปันตามโลกสังคมออนไลน์ต่างๆ ให้เพื่อนๆ ของคุณได้เห็นถึงความงดงามในสถานที่ท่องเที่ยวนั้นได้อีกด้วยครับ ถือว่าเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกทางหนึ่ง
          การเตรียมตัวไปทะเลนั้น เป็นเรื่องที่หลายๆ คนมองข้ามเพราะคิดว่าเอาอะไรไปแค่ไหนก็ได้ แต่บางครั้งเรื่องง่ายๆ นี่แหละคับ ที่สร้างความเร่งรีบให้กับเราได้ ดังนั้นการเตรียมตัวไปเที่ยวทะเล จึงต้องมีการเตรียมพร้อมแต่เนิ่นๆ จัดของทุกอย่างไปให้เรียบร้อย ดีกว่าไปถึงที่แล้วบ่นว่าลืมนั่นลืมนี่ ขอให้เพื่อนๆท่องเที่ยวกันอย่างมีความสุขนะครับ สวัสดีครับ

วันเสาร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2557

วิวัฒนาการของมนุษย์จากบรรพบุรุษจนถึงปัจจุบันเป็นมาอย่างไร

วิวัฒนาการของมนุษย์จากบรรพบุรุษจนถึงปัจจุบันเป็นมาอย่างไร


    เป็นที่รู้กันมนุษย์นั้นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เพิ่งวิวัฒนาการเปลี่ยนแปลงสายพันธุ์ เพื่อความอยู่รอดกันมาเมื่อไม่นานมานี้เองครับ แต่ใครจะรู้บ้างว่าแท้จริงแล้วประวัติศาสตร์การวิวัฒนาการของมนุษย์นั้น สามารถนับจากยุคปัจจุบันย้อนหลังไปได้ถึงราว 70 ล้านปีก่อนโน้นเลยทีเดียว โดยสามารถแบ่งออกเป็นยุคที่สำคัญได้ดังต่อไปนี้
วิวัฒนาการของมนุษย์จากบรรพบุรุษจนถึงปัจจุบันเป็นมาอย่างไร
1. ยุคกำเนิด 70 ล้านปีก่อน เป็นช่วงแรกเริ่มของวิวัฒนาการ จากลิงตัวใหญ่ ขนดก ไม่มีหางและเดินหลังค่อม กลายมาเป็นเดินตัวตรง มีขนน้อย และมันสมองเริ่มใหญ่ขึ้น
2. ยุค 20-25 ล้านปีก่อน เป็นยุคที่มนุษย์ยังมีร่างกายเป็นลิง โปรคอนซูล (Proconsul) คือลิงไม่มีหาง มีขนดก ลักษณะไม่ต่างอะไรกับยุคก่อน แต่สามารถยืนลำตัวตั้งตรงได้บ้างแล้ว
3. ยุค 2-5 ล้านปีก่อน เป็นยุคที่เรียกกันว่า ออสตราโลพิธีคัส (Australopithecus) หรือเป็นบรรพบุรุษของมนุษย์เรานั่นเองซึ่งรูปลักษณ์ของออสตราโลพิธีคัสนั้น จะสามารถวิวัฒนาการร่างกายได้จนลำตัวตั้งตรง และมีการประดิษฐ์หรือใช้สอยเครื่องมือต่างๆ ที่ทำจากหินได้บ้างแล้ว เช่นกระบอง หรือค้อนที่ทำจากหิน สำหรับการล่าสัตว์
4. ยุค 400000 ปีก่อน เป็นยุคที่มนุษย์เริ่มรู้จักการใช้ไฟในการให้ความอบอุ่น แสงสว่าง รวมไปถึงการปรุงรสชาติเนื้อสัตว์ให้สุก ก่อนการรับประทาน
5. ยุค 250000 ปีก่อน เป็นยุคที่เรียกกันว่า โฮโม เซเปียนส์ (Homo Sapiens) มีรูปลักษณ์ที่ใกล้เคียงกันมนุษย์ในยุคปัจจุบันมากขึ้น ทั้งยังสามารถพัฒนาเครื่องมือต่างๆ เพื่อใช้ในการล่าสัตว์ได้ให้มีประสิทธิภาพกว่าเดิมได้
6. ยุค 100000 – 35000 ปีก่อน หรือที่รู้จักกันในยุคของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัล (Neanderthal) มนุษย์ยุคนี้จะเริ่มอาศัยกันเป็นกลุ่มภายในถ้ำ การดำรงชีพ คือการล่าสัตว์
7. ยุค 30000 ปีก่อน หรือมนุษย์โครมันยอง (Cor-Magon) ซึ่งเริ่มมีการใช้เครื่องนุ่มห่มปกปิดร่างกาย อยู่อาศัยกันเป็นกลุ่มใหญ่หรือเผ่า แต่ยังมีการดำรงชีพโดยการล่าสัตว์อยู่ มนุษย์พวกนี้ส่วนใหญ่เป็นบรรพบุรุษของมนุษย์ผิวขาวทางยุโรป
8. ยุค 5000 ปีก่อน เป็นเริ่มที่มนุษย์รู้จักการเพราะปลูก โดยเริ่มจากข้าวสาลีและข้าวบาร์เลย์ และมนุษย์ยุคนี้จะเริ่มอยู่รวมกันเป็นหมู่บ้านหรือนิคม บางแห่งถ้าใหญ่หน่อยจะเริ่มจัดตั้งเป็นเมือง มีหัวหน้าเผ่าหรือเจ้าครองแคว้นเป็นผู้นำ
จะเห็นได้ว่า ระยะเวลาที่มนุษย์วิวัฒนาการนั้นกินระยะเวลายาวนานไม่ใช่เล่น จากลิงขนดกร่างใหญ่ พัฒนาร่ากาย ความคิด มันสมองมาเรื่อยๆ จนเริ่มอยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม และรู้จักการใช้สอยสิ่งและพัฒนาต่างๆ รอบตัวได้ในที่สุด ระยะเวลาของกระบวนการวิวัฒนาการทั้งหมดนี้กินเวลาถึง 70 ล้านปีซึ่งการศึกษาประวัติศาสตร์ต่างๆ ในเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่สนุกและได้ความรู้มากครับ ทำให้เห็นถึงความน่าทึ่งของเผ่าพันธุ์มนุษย์จากยุคโบราณจนถึงยุคปัจจุบันเลยทีเดียว

กระบวนการเกิดหินงอก หินย้อย เกิดจากอะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร

กระบวนการเกิดหินงอก หินย้อย เกิดจากอะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร


หินงอกหินย้อย คือปรากฏการณ์ชนิดหนึ่งที่เกิดต่อเนื่องกันมาเป็นเวลาหลายๆ พันหรือหมื่นปี ซึ่งส่วนใหญ่นั้นมักเกิดขึ้นในถ้ำหินปูน เพราะมีความชื้นอันเป็นปัจจัยของการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์ประเภทนี้ ลักษณะของหินงอกหินย้อยนั้น เป็นหินที่ยื่นหรือหยดเข้าหากันคล้ายกับเป็นของเหลว โดยมากเราเรียกหินที่หยดลงมาจากด้านบนว่าหินย้อย และเรียกหินที่ยื่นขึ้นไปจากทางด้านล่างว่าหินงอก ซึ่งกระบวนการต่างๆ ที่ทำให้เกิดสภาพนี้นั้นสามารถอธิบายได้ดังต่อไปนี้
กระบวนการเกิดหินงอก หินย้อย เกิดจากอะไร และเกิดขึ้นได้อย่างไร
1. หินงอกหินย้อยเกิดจากความชื้นต่างๆ ที่สะสมอยู่ในดิ้น คือเมื่อปลายยุคน้ำแข็ง หิมะเริ่มละลายตัว และความชื้นต่างๆ ก็ไหลมาสะสมในดิน หรือช่องว่างระหว่างดิน กลายเป็นธารน้ำใต้ดิน
2. เมื่อน้ำใต้ดินนั้นรวมตัวกับคาร์บอนไดออกไซด์ ทำให้เกิดกระบวนการสึกกร่อน และเกิดเป็นกรดคาร์บอนิก ซึ่งเป็นกรดอ่อนชนิดหนึ่ง ซึ่งเมื่อหินปูนนั้นเจอกับกรดคาร์บอนิกที่สามารถกัดกร่อนหินปูนได้นั้น ก็จะทำให้เกิดช่องว่างขึ้น เล็กบ้างใหญ่บ้าง ซึ่งเราเรียกช่องว่างที่เกิดขึ้นใหม่นี้ว่า ถ้ำ
3. หินย้อย เกิดได้จากกระบวนการเหล่านี้เอง คือกล่าวกันได้ว่า หินย้อยคือหินปูนที่ จับตัวกันเป็นแท่งหรือแผ่นย้อยลงมาจากเพดานถ้ำ ซึ่งเมื่อมีน้ำที่มีหินปูนสะสมอยู่หยดลงมาตามรอยแตกหรือรอยแยก ซึ่งเมื่อน้ำนั้นสูญเสียคาร์บอนไดออกไซด์ออกไป ก็จะทำให้เกิดสารประกอบประเภทคาร์บอเนต จากนั้นเมื่อเกิดการสะสมตัวพอกพูนมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เกิดเป็นแท่งหินที่ย้อยลงมาจากเพดานถ้ำ โดยมากมักมีลักษณะกลวงด้านใน
4. หินงอก เป็นกระบวนการที่คล้ายกันก็คือ เกิดจากน้ำที่มีหินปูนสะสมอยู่ที่หยดลงมาจากเพดานถ้ำ สู่ชั้นหินเบื้องล่าง ความที่น้ำนั้นมีตะกอนหินปูนอยู่มาก เมื่อเกิดการสูญเสียคาร์บอนไดออกไซด์ไปจึงทำให้เกิดสะสมเป็นแท่ง ยื่นไปในอากาศสูงจากพื้นถ้ำ ซึ่งกระบวนการเกิดหินงอกหินย้อยนี้มีความสัมพันธ์กัน ดังนั้นเมื่อเกิดหินย้อยแล้วต้องมีหินงอกด้วย (ยกเว้นถ้ำที่ไม่มีพื้น) และเมื่อมีหินงอกต้องมีหินย้อยด้วยเช่นกัน
สำหรับผู้ที่สนใจอยากจะเที่ยวชมถ้ำหินงอกหินย้อยนั้น ในประเทศไทยก็มีอยู่หลายที่ พบได้บ่อยทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย เช่นถ้ำละว้า จ. กาญจนบุรี , ถ้ำดาวดึงส์ อ. ไทรโยค กาญจนบุรี , ถ้ำหินงอกวัดถ้ำสุมโน จ. พัทลุง เป็นต้น ซึ่งถ้ำทั้งสามผู้เขียนเคยได้ไปเยี่ยมชมมาแล้ว นับว่าสวยงาม และให้ความรู้เรื่องหินงอกหินย้อยได้ดีมากๆ ครับ เพราะเราจะสามารถมองภาพ และจินตนาการการเกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี

พิธีขึ้นบ้านใหม่ ย้ายเข้าบ้านใหม่วันแรกต้องทำอย่างไร เตรียมอะไรบ้าง


พิธีขึ้นบ้านใหม่ ย้ายเข้าบ้านใหม่วันแรกต้องทำอย่างไร เตรียมอะไรบ้าง


การเตรียมตัวเพื่อเข้าหรือขึ้นบ้านใหม่นั้นเป็นความเชื่อมาตั้งแต่ครั้งโบราณว่าจะทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข และเป็นการบอกกล่าวเจ้าที่เจ้าทาง ความเชื่อเช่นนี้นั้นตกทอดมาถึงยุคปัจจุบันเช่นกันเพียงแต่พิธีการต่างๆ นั้นอาจจะเปลี่ยนแปลงหรือตัดทอนลงไปบ้าง วันนี้เราจะมาแนะนำวิธีหรือพิธีการเข้าหรือขึ้นบ้านใหม่นั้นมาบอกกล่าวกันค่ะ
พิธีขึ้นบ้านใหม่ ย้ายเข้าบ้านใหม่วันแรกต้องทำอย่างไร เตรียมอะไรบ้าง
1. จัดเตรียมข้าวของต่างๆ เป็นต้นว่า พระพุทธรูป ดอกไม้ธูปเทียน ไม้มงคลต่างๆ รวมไปถึงพวกผลไม้สำหรับไหว้เจ้าที่เจ้าทาง เช่นกล้วย มะพร้าว สาลี่ ทับทิม ส้ม อาจจะมีขนมไทยที่เป็นที่นิยมจำพวก ทองหยิบ ทองหยอด ทองเอก หรือขนมอื่นๆ ที่มีชื่อเป็นมงคลด้วยก็ได้ ทั้งนี้เพราะเป็นความเชื่อว่าทอง หมายถึงความร่ำรวย ผู้อยู่อาศัยภายในบ้านจะสุขสบายและร่มเย็นเป็นสุข
2. เมื่อจัดเตรียมข้าวของต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ให้ หาคนที่มีอาวุโสสูงสุด(ผู้ชาย) ทำการถือพระพุทธรูป เดินเข้าบ้านก่อนทั้งนี้มีความเชื่อว่า ให้พระนำหน้าจะทำให้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข จากนั้นให้ผู้อยู่อาศัยเดินตามผู้นำ แล้วให้นำพระพุทธรูปไปประดิษฐานยังห้องพระที่จัดเตรียมไว้ก่อนหน้านี้ (ควรจัดเตรียมไว้ก่อน โดยห้องพระนั้นควรอยู่ทางทิศตะวันออกหรือทิศเหนือ)
3. จัดผลไม้ 5 อย่างที่เตรียมไว้แล้ว พร้อมกับน้ำสะอาด ธูป เทียน จุดบูชาคุณพระศรีรัตนตรัย เพื่อเป็นการเคารพนบนอบและอธิษฐานให้บ้านที่เราอยู่นี้เกิดความร่มเย็นเป็นสุข
4. จัดผลไม้ 5 อย่างที่เตรียมไว้ พร้อมกับอาหารสำรับคาวหวาน น้ำสะอาด ธูปเทียน ส่วนนี้เป็นการไหวและบอกกล่าวเจ้าที่ ว่าเราเข้ามาอยู่ใหม่ ขอให้ดลบันดาลความสำเร็จ ความสงบร่มเย็นเป็นสุข ความเจริญก้าวหน้า ตลอดจนปกปักษ์รักษาสมาชิกภายในบ้าน อย่าให้สิ่งที่ไม่ดีต่างๆ มากล้ำกรายได้
5. ส่วนที่นิยมอีกอย่างหนึ่งนั้น แนะนำให้จัดข้าวสารและอาหารแห้ง เช่นน้ำพริกน้ำปลา ปลากระป๋องต่างๆ น้ำดื่ม และจัดวางไว้บริเวณกลางบ้าน ตั้งแต่ก่อนจุดธูปเทียนไหว้พระ วิธีนี้เป็นเคล็ดที่จะทำให้บ้านมีความอยู่เย็นเป็นสุข เงินทองเจริญงอกงาม
6. ในชนบทบางแห่งเชื่อว่าตามเสาบ้านนั้นมีผีบ้านผีเรือนอาศัยอยู่ จึงมักจัดกระทงใบตองที่ประกอบไปด้วยอาหารคาวหวาน เหล้า บุหรี่ จากนั้นทำพิธีเซ่นผีบ้านผีเรือนที่ว่านี้ให้ออกมากินอาหาร แต่ทุกวันนี้ไม่ค่อยเห็นพิธีแบบนี้แล้วครับ ส่วนใหญ่จะเป็นพิธีทางพุทธเสียมากกว่า
การเตรียมตัวเข้าไปอยู่ในบ้านใหม่นั้น จะว่าไปก็แล้วแต่ความเชื่อนั่นแหละครับ บางที่ไม่ต้องทำพิธีอะไรมากมาย แค่คิดดีทำดี ก็สามารถทำให้เราอยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขได้ ดังนั้นจงเลือกทำตามความเชื่อของแต่ละคนเถิดครับ ขอให้มีความสุขในบ้านหลังใหม่ สวัสดีครับ

วิธีการแก้ไขปัญหาน้ำกระด้างถาวร น้ำกระด้างชั่วคราว แบบได้ผลจริง

วิธีการแก้ไขปัญหาน้ำกระด้างถาวร น้ำกระด้างชั่วคราว แบบได้ผลจริง

น้ำกระด้าง หมายถึง น้ำที่มีหินปูนเจือปนอยู่ในน้ำ ซึ่งทำให้คุณสมบัติของนั้นเป็นด่าง ซึ่งไม่สามารถนำมาใช้งานได้ดีเท่าที่ควร ยกตัวอย่างเช่น เมื่อนำน้ำชนิดนี้ไปหุงข้าว จะทำให้ข้าวออกมาสีเหลืองไม่น่ารับประทาน และเมื่อนำไปใช้ซักผ้า ความเป็นด่างของมันจะเป็นตัวทำให้ผงซักผ้าไม่เกิดฟอง แม้แต่การนำไปใช้ในการเกษตร น้ำกระด้างนั้นไม่เหมาะสำหรับพืชหลายชนิด รวมไปถึงการเลี้ยงสัตว์หลายชนิดเช่นกัน ดังนั้นจึงนับได้ว่า น้ำกระด้างไม่เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไปในชีวิตประจำวันสักเท่าไหร่นัก แต่หลายๆ คนก็มักจะถามเข้ามาอยู่บ่อยๆ ถึงวิธีการแก้ไขน้ำกระด้างที่สามารถใช้งานได้ เพราะในบางพื้นที่น้ำที่นำมาใช้งานมักจะมาส่วนของน้ำกระด้างเจือปนอยู่นั่นเอง วันนี้เราจึงอยากจะแนะนำวิธีการทำให้น้ำกระด้างนั้นอ่อนลงและพอที่จะใช้งานได้มาฝากกันครับ โดยสามารถแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ๆ ดังนี้
วิธีการแก้ไขปัญหาน้ำกระด้างถาวร น้ำกระด้างชั่วคราว แบบได้ผลจริง
1. น้ำกระด้างชั่วคราว (น้ำที่สามารถกำจัดความกระด้างให้หายไปด้วยการต้ม พบได้ในแม่น้ำลำคลอง)
  • นำไปต้ม เพราะ น้ำกระด้างชั่วคราวนี้จะสามารถกำจัดความกระด้างออกไปด้วยการต้ม ซึ่งความร้อนจะทำให้ไบคาร์บอเนตของแคลเซียมและแม็กนีเซียม ซึ่งเกาะตัวรวมกับโมเลกุลของน้ำระเหยไป และทำให้เกิดตะกอน สามารถแก้ไขได้ด้วยการกรอง
  • การเติมปูนขาว
2. น้ำกระด้างถาวร (ไม่สามารถจัดได้ด้วยการต้ม เพราะ มีสารจำพวกแคลเซียมคลอไรด์ แคลเซียมซัลเฟต แม็กนีเซียมคลอไรด์ และแม็กนีเซียมซัลเฟตเจือปนอยู่)
  • สามารถแก้ไขได้ โดยวิธีการกลั่น โดยจะเป็นการเปลี่ยนสถานะของน้ำจากของเหลวกลายเป็นไอ ก่อนจะกลับมาเป็นของเหลวอีกทีหนึ่ง ซึ่งเมื่อน้ำกลายเป็นไอนั้น ตัวสารที่เจือปนอยู่ในน้ำจะตกผลึกออกมาเพราะเป็นสารที่มีน้ำหนัก
  • ในการแก้ไขจริงๆ แล้วมักจะใช้เครื่องกรองเรซิ่น ซึ่งเม็ดเรซิ่นในเครื่องกรองจะดักจับหินปูนภายในน้ำแล้วกรองออก และจากนั้นให้นำเอาตัวกรองออกมาล้างโดยใช้น้ำเกลือ เพื่อให้น้ำเกลือนั้นไปจับผลึกหินปูนออกมาจากเรซิ่นนั่นเองครับ
  • ใช้โซดาแอช ซึ่งเจ้าโซดาแอชนี้จะไปทำปฏิกิริยากับสารแคลเซียมคลอไรด์ แคลเซียมซัลเฟต แม็กนีเซียมคลอไรด์ และแม็กนีเซียมซัลเฟต ที่อยู่ภายในน้ำกระด้าง และทำให้เกิดการตกตะกอนละเอียด ซึ่งวิธีนี้จำเป็นต้องใช้ร่วมกับสารส้ม เพื่อให้ตะกอนนั้นรวมกันกลายเป็นก้อนใหญ่และสามารถกรองออกได้
จะว่าไปแล้วน้ำกระด้างก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์เสียทีเดียวนะครับ เพราะน้ำดื่มของคนเราเองนั้นก็มีคุณสมบัติออกไปในทางกระด้างอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ควรเป็นน้ำที่มีตะกอนสูงหรือกระด้างมากนัก และน้ำกระด้างถาวรนั้นไม่ควรนำไปต้ม เพราะ ผลึกหินปูนจะไปเกาะตามหม้อหรือกา อาจทำหม้อระเบิดหรือสิ้นเปลืองพลังงานในการต้มได้ครับ

การตอบสนองต่อสิ่งเร้าของต้นไมยราบ และสรรพคุณทางยาสมุนไพร

ต้นไมยราบนั้นเป็นพืชประเภทล้มลุก หรือจะเรียกว่าเครือเถาก็ได้ไม่ผิดนัก เพราะต้นของมันมักจะเลื้อยไปตามพื้นดิน ไม่สูงนัก โดยมากมักมีความสูงไม่เกิน 1 เมตร ลำต้นนั้นออกสีน้ำตาลแดงและมีหนามขนาดเล็ก มีขนปกคลุมทั่วลำต้น ขายพันธุ์ด้วยการเพราะเมล็ด ด้านใบของมันนั้นมีลักษณะคล้ายขนนก ซึ่งมีสองชั้นคือ ใบหลักและใบย่อยเป็นคู่ตรงข้ามกัน ไมยราบนั้นเป็นพืชที่ไม่ได้มีถิ่นกำเนิดในประเทศไทยนะครับ แต่เป็นพืชที่ถูกนำมาจากอเมริกาใต้ เพื่อใช้ประโยชน์ในการปลูกคลุมหน้าดิน โดยกรมทางหลวง
การตอบสนองต่อสิ่งเร้าของต้นไมยราบ และสรรพคุณทางยาสมุนไพร
สำหรับการตอบสนองของต้นไมยราบนั้น เกิดจากการหุบใบทั้งสองด้านเข้าหากันเพื่อป้องกันการถูกทำร้ายหรือรบกวน โดยหลักของการหุบใบนี้ ไม่ได้เป็นเพราะ มันมีเส้นประสาทหรือสัมผัสพิเศษอย่างที่เข้าใจนะครับ แต่เป็นกระบวนการของการสูญเสียน้ำภายในกลุ่มเซลล์บริเวณก้านใบอย่างฉับพลับ ทำให้เกิดการหุบของใบเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ซึ่งเมื่อผ่านไประยะเวลาหนึ่ง น้ำในเซลล์นั้นซึมกลับมายังก้านใบตามเดิม และใบที่หุบเข้าหากันก็จะกางออก ซึ่งกระบวนการนี้แท้ที่จริงแล้วสามารถพบได้ในพืชอีกหลากหลายชนิด แต่เป็นการค่อยๆ หุบเสียมากกว่า เช่น ดอกบัวนั้นบานในเวลากลางวัน แต่จะหุบกลีบเข้าหากันในเวลากลางคืน หรือต้นกระบองเพชร จะบานในเวลากลางคืนและหุบในเวลากลางวัน เป็นต้น
สำหรับเกร็ดเล็กๆ ของไมยราบนี้มีมากมายครับ เพราะตลอดทั้งต้นของมันนั้นสามารถใช้เป็นยาได้ มีสรรพคุณในด้านต่างๆ ดังนี้
1. ต้นแห้งของไมยราบสามารถนำมา ต้มกินกับน้ำ จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวจากอาการอ่อนเพลียที่เกิดขึ้นได้
2. สามารถนำไปเป็นยารักษาโรคเบาหวาน เพราะ ไมยราบนั้นมีสารที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ โดยสามารถออกฤทธิ์ได้นานต่อเนื่องกันถึง 5 ชั่วโมงเลยทีเดียว นอกจากนั้นทุกส่วนของต้นสามารถนำไปชงดื่มแทนชาได้ (ต้องหั่นและนำไปคั่วก่อน) จะสามารถลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้
3. นำส่วนของต้นมาสับและต้มกับน้ำกิน สามารถแก้ไขอาการผอมแห้ง แรงน้อย รวมไปถึงอาการปวดเมื่อยตามเนื้อตัว เบื่ออาหารได้อย่างชะงัด
4. นำต้นไมยราบ หั่นแล้วต้มกินกับน้ำ สามารถแก้อาการนอนไม่หลับได้
5. ใบของมันสามารถนำมาตำพอก เพื่อรักษาอาการปวดบวมได้
ต้นไมยราบนั้น สามารถพบเห็นได้ทั่วไปเลยนะครับ เพราะมันขยายตัวแพร่พันธุ์ไปทั่วเลยทีเดียว โดยนอกจากมันจะเป็นพืชที่มีความมหัศจรรย์ในเรื่องของปฏิกิริยาแล้ว ยังมีประโยชน์ในด้านต่างๆ อีกมากมาย เรียกว่า เป็นพืชสารพัดประโยชน์ก็คงไม่ผิดนักครับ

5 วิธีแก้ปัญหาส้วมตัน ชักโครกตัน ควรทำอย่างไรในเบื้องต้น

5 วิธีแก้ปัญหาส้วมตัน ชักโครกตัน ควรทำอย่างไรในเบื้องต้น


หนึ่งในปัญหาน่าปวดหัวที่มาพร้อมกับความเลอะเทอะ คงหนีไม่พ้นอาการชักโครกตัน ที่ถ้าหากว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่ เป็นต้องเอามือกุมขมับ เพราะนอกจากจะใช้งานชักโครกเจ้ากรรมนั่นต่อไม่ได้แล้ว ยังต้องเผชิญกับของเสียและสิ่งปฏิกูลต่างๆ ที่ไม่สามารถขจัดไปได้ สาเหตุหลักๆ ที่ส้วมหรือชักโครกตันนั้นก็มาจากหลากหลายสาเหตุ ทั้งการที่ทิ้งของต่างๆ จำพวกกระดาษทิชชู่ หรือผ้าอนามัยลงไปในโถ ซึ่งมันเป็นวัสดุที่ย่อยสลายได้ยาก และเมื่อสะสมรวมตัวกันมากๆ ก็จะไปอุดตันท่อทำให้ชักโครกนั้นเกิดอาการกดไม่ลง วิธีแก้นั้นก็มีอยู่ดังนี้
5 วิธีแก้ปัญหาส้วมตัน ชักโครกตัน ควรทำอย่างไรในเบื้องต้น
1. ใช้ลูกยางปั๊ม เป็นวิธีเบื้องต้นที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เพราะว่าลูกยางนั้นหาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาด วิธีใช้ให้สวมหัวลูกยางลงในคอชักโครก จากนั้นออกแรงกดปั๊มเป็นจังหวะ แรงอัดของลูกยางจะช่วยดันสิ่งที่อุดตันอยู่ในท่อให้ไหลออกไป แต่วิธีนี้อาจจะต้องยอมเลอะหน่อยนะครับ
2. โซดาไฟ เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ได้รับความนิยม เพราะโซดาไฟนั้นมีฤทธิ์กัดกร่อน ซึ่งจะช่วยทะลวงสิ่งที่อุดตันอยู่ภายในท่อให้หลุดออกไปได้ วิธีใช้ก็คือให้ผสมโซดาไฟกับน้ำอุ่น(ค่อยๆเทลงไป เพราะมันจะมีควันพุ่งออกมา ระวังอย่าให้เข้าตา) จากนั้นก็ราดโซดาไฟที่ผสมแล้วลงในชักโครก ไม่นานสิ่งที่อุดตันก็จะหลุดออกไป แต่ต้องระมัดระวังในการใช้งานด้วยนะครับ และต้องสวมถุงมือยางทุกครั้งขณะใช้ ตัวโซดาไฟนี้สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายวัสดุก่อสร้างครับ
3. น้ำยาล้างท่ออุดตัน เป็นอีกหนึ่งวิธีที่แนะนำครับ เพราะน้ำยาประเภทนี้มักจะมีสารละลายไขมัน ซึ่งจะทำปฏิกิริยากับสิ่งที่อุดตันอยู่ในท่อ ความร้อนที่เกิดจากปฏิกิริยาที่ว่านี้ จะช่วยละลายสิ่งอุดตันให้หลุดออกไปจากท่อชักโครกได้ ข้อแนะนำคือควรระมัดระวังในการใช้งาน เพราะสารเคมีประเภทนี้มักมีฤทธิ์กัดกร่อนสูง ขณะที่ใช้งานควรสวมถุงมือยางด้วยเพื่อความปลอดภัย
4. ใช้สายงูเหล็ก ซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นโลหะยาวๆ พร้อมหัวจับวิธีใช้ก็คือให้สอดสายโลหะที่ว่านี้ลงไปในชักโครก เอาให้ลึกที่สุดเท่าที่จะเข้าไปได้ จากนั้นให้หมุนด้ามจับไปมา แรงหมุนจะช่วยตีคว้านให้สายโลหะดันสิ่งที่อุดตันออกไปจากท่อ ซึ่งสายงูเหล็กนี้สามารถซื้อหาได้ทั่วไปตามร้านวัสดุก่อสร้างเช่นกันครับ
5. บริษัทรับจัดการท่อตัน หากวิธีที่กล่าวมาทั้งหมด ยังไม่ได้ผล แนะนำให้ติดต่อมืออาชีพเข้ามาจัดการดีกว่าครับ เพราะบริษัทพวกนี้มักจะมีเครื่องไม้เครื่องมือที่พร้อมกว่าเราในการจัดการปัญหาส้วมตัน
จะเห็นได้ว่า แม้เป็นปัญหาพื้นๆ ที่พบเห็นได้อยู่บ่อยครั้ง แต่การแก้ไขปัญหานั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด ดังนั้นคงจะดีกว่านี้หากไม่ต้องเกิดปัญหาขึ้นเลย ซึ่งเราสามารถป้องกันได้ด้วยการไม่ทิ้งขยะที่ย่อยสลายยากลงในชักโครกครับ

วิธีทำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ เพื่อประโยชน์สูงสุดตามวิถีเกษตรอินทรีย์




วิธีทำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ เพื่อประโยชน์สูงสุดตามวิถีเกษตรอินทรีย์


    ปัจจุบัน ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ ได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะได้รับการยอมรับว่าสามารถช่วยให้ผลผลิตดีขึ้น และไม่เป็นอันตรายเหมือนกับปุ๋ยเคมี อีกทั้งยังสามารถทำได้เองอีกต่างหาก ปุ๋ยชีวภาพสามารถแบ่งออกได้เป็นสองประเภทคือ
  1. ปุ๋ยน้ำที่เกิดจากขยะเปียกต่างๆ เช่น เศษอาหาร เศษผัก เศษผลไม้ พืชสมุนไพร
  2. ปุ๋ยที่เกิดจากการผลิตจากสัตว์ เช่นปลา หรือหอยเชอรี่
วิธีทำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยชีวภาพ เพื่อประโยชน์สูงสุดตามวิถีเกษตรอินทรีย์
สำหรับวิธีการทำปุ๋ยชีวภาพนั้น สามารถทำได้ดังต่อไปนี้
1. ปุ๋ยที่เกิดจากพืชหรือขยะเปียก ขั้นแรกให้เราหาวัสดุต่างๆ ที่จำเป็นต้องใช้ดังนี้
  • เศษวัสดุเหลือใช้ เช่นเศษพืช เศษผัก/ผลไม้ หรือเศษอาหาร จำนวนประมาณครึ่งถัง
  • กากน้ำตาลประมาณ 1 ลิตร
  • น้ำที่เกิดจากการหมักจุลินทรีย์จำนวน 1 ลิตร
  • น้ำสะอาดประมาณครึ่งถัง
เมื่ออุปกรณ์ต่างๆ ครบ ให้เราเริ่มนำ น้ำสะอาดเติมลงในถัง และเติมส่วนผสมอื่นๆ เช่นหัวเชื้อจุลินทรีย์หรือน้ำหมักจุลินทรีย์ พร้อมกับกากน้ำตาลลงไปผสมให้เข้ากัน ข้อแนะนำก็คือไม่ควรเติมกากน้ำตาลมากจนเกินไปเพราะจะส่งผลให้เกิดกลิ่นที่รุนแรงตามมาได้ จากนั้นเมื่อทุกอย่างเข้ากันดีแล้วให้เทส่วนผสมที่ออกมาลงในถุงปุ๋ยแล้วนำไปเก็บไว้ในที่ร่มประมาณ 7 วัน ก็จะได้ปุ๋ยชีวิภาพสูตรพืชตามที่ต้องการ
2. ปุ๋ยที่เกิดจากสัตว์ ขั้นแรกเราต้องเตรียมวัสดุดังต่อไปนี้
  • ปลา หรือหอยเชอรี่ที่ต้องการนำมาทำปุ๋ยประมาณ ครึ่งถัง
  • กากน้ำตาลประมาณ 1 ลิตร
  • น้ำที่เกิดจากการหมักจุลินทรีย์สำหรับเป็นหัวเชื้อประมาณ 1 ลิตร
  • น้ำสะอาดประมาณครึ่งถัง
  • ถังพลาสติกเปล่าๆ ที่มีฝาปิดมิดชิดพร้อมไม้สำหรับคน
เมื่ออุปกรณ์ต่างๆ ครบแล้วให้เราเริ่มลงมือได้โดยการนำ ปลา หอยเชอรี่ ลงในถัง แล้วเทส่วนกากน้ำตาล น้ำหมักหัวเชื้อ น้ำสะอาดลงไปในถังเปล่าที่เตรียมไว้ จากนั้นให้ใช้ไม้คนวัสดุให้เข้ากัน แล้วปิดฝาทิ้งไว้ประมาณ 1-2 เดือนโดยระหว่างการหมักนั้น ให้คนส่วนผสมต่างๆ ในถังอย่างสม่ำเสมอเพื่อเร่งหรือกระตุ้นให้เกิดการย่อยสลายได้ดีขึ้น เมื่อผ่านไปประมาณ 2 เดือนก็สามารถนำปุ๋ยหมักชีวิภาพขึ้นมาใช้งานได้
สำหรับประโยชน์คร่าวๆ ของปุ๋ยหมักทั้งสองสูตรนั้น สามารถช่วยในการกำจัดน้ำเน่าเสีย (อย่างที่เคยเห็นใช้กันในระหว่างเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่) ใช้ในการบำบัดกลิ่นเหม็นต่างๆ รวมไปถึงใช้ในการทำความสะอาดคอกสัตว์หรือกิจการปศุสัตว์ นอกจากนั้นในภาคการเกษตรยังนำไปใช้งานเพื่อเร่งผลผลิตแทนปุ๋ยเคมีได้อีกด้วย นับว่ามีประโยชน์รอบด้านจริงครับ ที่สำคัญยังเป็นปุ๋ยที่ผลิตขึ้นมาได้เอง โดยใช้วัสดุราคาถูกที่หาได้ทั่วไปอีกด้วย



งูสวัดเกิดจากสาเหตุอะไร ติดต่อทางไหน แนวทางการรักษา

งูสวัดเกิดจากสาเหตุอะไร ติดต่อทางไหน แนวทางการรักษา

โรคงูสวัด เป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่พบเห็นได้บ่อยในประเทศไทย ซึ่งโรคนี้นั้นเกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่งที่เรียกว่า วาริเซลล่า ซอสเตอร์ ไวรัส เป็นไวรัสตัวเดียวกับที่ทำให้เกิดโรคอีสุกอีใสนั่นแหละ ดังนั้นอาการของงูสวัดจึงคล้ายกับอาการของโรคอีสุกอีใสมากเลยทีเดียว คือมีตุ่มใสๆ มีหนองข้างในขึ้นทั่วบริเวณร่างกาย แต่ความแตกต่างนั้นอยู่ที่ การที่เราจะเป็นโรคงูสวัดได้นั้น ต้องผ่านการเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อน สำหรับอาการของโรคงูสวัดนั้นเป็นอย่างไร เรามาดูกันค่ะ
งูสวัดเกิดจากสาเหตุอะไร ติดต่อทางไหน แนวทางการรักษา
1. อย่างที่บอกว่าเมื่อเราได้รับเชื้อ วาริเซลล่า ซอสเตอร์ ไวรัส (Varicella Zoster Virus) เข้ามาสู่ร่างกายครั้งแรกนั้น มักจะทำให้เกิดอาการตัวร้อน มีผื่นและตุ่มหนองขึ้นทั่วร่างกาย ซึ่งก็คือโรคอีสุกอีใสนั่นเอง และเมื่อหายจากโรคนี้แล้วเราจะไม่เป็นโรคอีสุกอีใสนี้อีกเลยตลอดชีวิต แต่จะเป็นโรคงูสวัดแทน เพราะเชื้อไวรัสต้นเหตุนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้ถูกกำจัดออกไปจากร่างกายของเรา แต่หลบมุมอยู่ภายในระบบประสาท และไม่สามารถออกฤทธิ์ได้หากภูมิคุ้มกันของเรายังแข็งแรง ดังนั้นหนึ่งในวิธีป้องกันโรคงูสวัดที่ได้ผลดีที่สุดคือการรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงเอาไว้อยู่ตลอดเวลานั่นเองค่ะ
2. เริ่มแรกนั้นผู้ป่วยจะมีอาการปวดแสบปวดร้อนโดยหาสาเหตุไม่ได้ เนื่องจากไวรัส วาริเซลล่า ซอสเตอร์ ไวรัสที่ซ่อนตัวอยู่ในระบบประสาทนี้ สามารถเพิ่มจำนวนขึ้นมาได้จนเกิดเป็นอาการติดเชื้อ ทำให้เส้นประสารทเกิดการแสบร้อนหรือปวดจี๊ดๆ
3. หลังจากเกิดอาการปวดแสบมาได้ประมาณ 2-3 วัน ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการ ออกผื่นสีแดง และมีน้ำอยู่ข้างใน เรียงกันตามแนวเส้นประสาททั่วร่างกาย ด้วยเหตุนี้เองจึงเป็นที่มาของชื่อโรคงูสวัด เพราะมันมีลักษณะยาวคล้ายงู ส่วนใหญ่มักจะปรากฏตามแขน ขา หรือเอว ซึ่งเมื่อเกิดเป็นตุ่มหนองแล้ว มักจะแตกออกและตกสะเก็ดหายไปได้ในเวลาประมาณ 2 สัปดาห์
4. เมื่ออาการภายนอกหายหมดแล้ว ผู้ป่วยบางคนอาจจะยังรู้สึกแสบร้อนภายในกล้ามเนื้ออยู่ ซึ่งก็แล้วแต่คน ทั้งนี้เพราะเจ้าไวรัสนั้นไม่ได้ถูกกำจัดออกไปจากร่างกายนั่นเอง แต่มันถูกสะกดไว้ด้วยภูมิคุ้มกัน ทำให้ไม่ปรากฏอาการขึ้นมาอีกนั่นเอง
งูสวัดติดต่อทางไหน? การติดต่อของโรคงูสวัด สามารถติดต่อได้โดยการสัมผัส โดยในผู้ที่ยังไม่เคยเป็นอีสุกอีใสจะทำให้เกิดอีสุกอีใส และหากเคยเป็นอีสุกอีใสแล้วก็จะทำให้โอกาสที่จะเป็นโรคงูสวัดเพิ่มมากขึ้น
สำหรับการรักษาโรคงูสวัดนี้ปัจจุบันมียาที่ชื่อว่า อะไซโคลเวียร์ (Aciclovir) ซึ่งมีทั้งแบบวัคซีนและแบบรับประทานโดยเจ้ายาตัวนี้จะมีฤทธิ์ยับยั้งเชื้อ วาริเซลล่า ซอสเตอร์ไวรัส ไม่ให้เพิ่มจำนวนมากขึ้นจนถึงระดับที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย แต่ผู้ป่วยที่จะรับประทานยานี้หรือฉีดยานี้เข้าสู่เส้นเลือดนั้น ควรได้รับคำสั่งจากหมอก่อน ดังนั้นเมื่อเกิดเป็นโรคงูสวัดขึ้น อันดับแรกที่ควรทำคือ ไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำนั่นเองค่ะ

5 วิธีรักษาจุดด่างดำบนใบหน้าที่เกิดจากสิว ขจัดรอยด่างดำด้วยสมุนไพรจากธรรมชาติ

5 วิธีรักษาจุดด่างดำบนใบหน้าที่เกิดจากสิว ขจัดรอยด่างดำด้วยสมุนไพรจากธรรมชาติ

สิวนั้นเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะหากมันขึ้นมาที่ใบหน้า เพราะนอกจากมันจะทำให้ใบหน้าของเราดูไม่สะอาด ไม่สบายตาเท่าที่ควรจะเป็นแล้ว ยังส่งผลให้เกิดหลุม หรือจุดด่างดำขึ้นมาบนใบหน้าของเราได้อีก ทั้งนี้เจ้าจุดด่างดำที่ว่านี้ยิ่งเลวร้ายกว่าสิวอีกค่ะ เพราะมันทำให้ใบหน้าสวยๆ ของเราดูหมองคล้ำไม่น่ามอง ซึ่งก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากเจ้าสิวจอมวายร้ายเลย ดังนั้นวันนี้ เราจึงมีวิธีแก้ไม่ให้ใบหน้าเป็นจุดด่างดำจากสิวแบบง่ายๆมาฝากกันค่ะ
5 วิธีรักษาจุดด่างดําบนใบหน้าที่เกิดจากสิว ขจัดรอยด่างดำด้วยสมุนไพรจากธรรมชาติ
1. มะนาว เป็นสมุนไพรที่หาได้ง่ายตามบ้านค่ะ และเจ้ามะนาวนี่ก็มีฤทธิ์เป็นกรดอ่อนๆ (AHA, Alpha Hydroxy Acids) ซึ่งมีช่วยในการลอกเซลล์ผิวที่ตายแล้วให้หลุดร่วงออกไป นอกจากนั้นยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิว ทำให้เซลล์ผิวเกิดใหม่นั้นสามารถผลัดขึ้นมาแทนที่เซลล์ผิวเก่าที่ตายไปแล้วได้อย่างรวดเร็วภายใน 3 สัปดาห์ค่ะ วิธีใช้ก็แค่ผสมมะนาวกับโฟมล้างหน้า หรือจะใช้โฟมล้างหน้าประเภทที่มีมะนาวเป็นส่วนประกอบก็ได้เช่นกัน
2. ขมิ้นชัน เป็นอีกสมุนไพรหนึ่งที่มีฤทธิ์ในการกำจัดเซลล์ผิวเสียที่ตายแล้วค่ะ นอกจากนั้นยังช่วยหยุดการเจริญเติบโตของแบคทีเรียบางชนิดที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดสิวได้อีกด้วย วิธีการใช้งานก็แค่หาขมิ้นชันแบบผงที่ขายกันอยู่ทั่วไปตามตลาด หรือห้างสรรพสินค้า นำมาผสมกับโยเกิร์ตและน้ำมะนาว แล้วนำมาแตะแต้มที่สิวก่อนนอนประมาณ 2 สัปดาห์เท่านั้นจะรู้สึกได้ถึงความเกลี้ยงเกลาของใบหน้า และรูขุมขนกระชับขึ้น สุดยอดไปเลย
3. หอมแดง ในหอมแดงจะมีสารที่มีคุณสมบัติสามารถยับยั้งแบคทีเรียบนผิวหนังได้ วิธีทำก็ง่ายๆ เพียงแค่นำหอมแดงมาปอกเปลือกให้เกลี้ยงและล้างให้สะอาด จากนั้นนำมาฝานเป็นแผ่นบางๆหรือจะสับให้ละเอียดก็ได้ เสร็จแล้วนำมาโปะไว้บนจุดที่เป็นสิวหรือมีรอยด่างดำ ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก ทำทุกวัน 3-4 วันจะเห็นว่าหัวสิวค่อยๆยุบตัวลง ส่วนรอยด่างดำก็จะดูจางลงอย่างเห็นผลได้ชัด
4. ล้างหน้าด้วยสบู่สมุนไพรต่างๆ ที่มีขายอยู่ตามท้องตลาด เช่นสบู่ขิง สบู่มังคุด สบู่ว่านหางจรเข้า สบู่แตงกวา เพราะสบู่พวกนี้มักจะมีส่วนผสมของสมุนไพรต่างๆ ซึ่งก็มีฤทธิ์แตกต่างกันออกไป บางตัวช่วยขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว บางตัวมีฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรีย และบางตัวสามารถเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับใบหน้า คงความอ่อนโยนให้กับผิวหน้าได้ เป็นต้น
5. หมั่นดูแลรักษาความสะอาดใบหน้าเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ เพราะบางครั้งฝุ่น หรือเชื้อโรคต่างๆ ที่ล่องลองอยู่ในอากาศอาจจะจับตัวเข้ากับผิวหน้าและทำให้เกิดสิวได้ ดังนั้นเราจึงควรรักษาความสะอาดผิวหน้าเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอ ด้วยการล้างหน้าเป็นประจำทั้งเช้าและเย็น จะสามารถยับยั้งความสกปรกที่อาจเกิดขึ้นได้ รวมถึงเป็นการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้าได้อีกด้วยค่ะ
จะเห็นได้ว่า เคล็ดลับการขจัดรอยดำจากสิวนั้น ส่วนใหญ่อยู่ที่การรักษาความสะอาดของใบหน้า โดยการนำสมุนไพรที่มีฤทธิ์กำจัดความสกปรกต่างๆ มาประยุกต์ใช้ ดังนั้นสาวๆ หรือหนุ่มๆทั้งหลายที่อยากจะมีผิวหน้าที่อ่อนเยาว์ห่างไกลจากสิวแล้วล่ะก็ จะต้องหมั่นรักษาความสะอาดเป็นประจำนะคะ

8 วิธีแก้ปัญหาฟันเหลือง ทำอย่างไรให้ฟันขาวดั่งใจ ด้วยวิธีฟอกแบบธรรมชาติ

8 วิธีแก้ปัญหาฟันเหลือง ทำอย่างไรให้ฟันขาวดั่งใจ ด้วยวิธีฟอกแบบธรรมชาติ

ฟันของมนุษย์นั้นเมื่อใช้งานไปสักระยะหนึ่ง มักจะค่อยๆ เหลืองลงเรื่อยๆไม่ขาวเหมือนเดิม ทั้งนี้เพราะต้องสัมผัสกับอาหารรูปแบบต่างๆ ที่มนุษย์กินอยู่ทุกวันนั่นเอง ซึ่งเจ้าอาหารบางชนิดก็มีสารที่คอยทำลายเคลือบฟันอยู่ด้วย หรือบางครั้งอาหารบางจำพวกก็มักจะทิ้งคราบหลงเหลือไว้บนฟันของเราได้เช่นกัน เมื่อมันเกาะตัวหนามากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะทำให้ฟันของเราเหลืองลงได้เรื่อยๆ ดังนั้นวันนี้เราจึงมีคำแนะนำดีๆ ในการช่วยให้ฟันที่เหลืองดูไม่สวยของเรานั้น กลับมาขาวแวววาวได้เหมือนเดิมกันค่ะ
8 วิธีแก้ปัญหาฟันเหลือง ทำอย่างไรให้ฟันขาวดั่งใจ ด้วยวิธีฟอกแบบธรรมชาติ
1. รับประทานผักผลไม้บางจำพวกที่ต้องเคี้ยว เช่น แอปเปิ้ล ซึ่งมีสารขัดฟันอยู่ในตัว และผักบางชนิด เช่น แครอท ก็มีเนื้อแข็ง ขณะที่กำลังเคี้ยว เนื้อของผลไม้ชนิดนี้ก็จะช่วยไปขัดคราบเหลืองๆ บนฟันออกได้ วิธีนี้เป็นวิธีดั้งเดิมที่เคยใช้ได้ผลบ้าง แต่ข้อเสียคือไม่สามารถทำให้ฟันขาวขึ้นได้อย่างถาวร
2. ใช้สมุนไพรจากธรรมชาติในการขัดฟัน เช่นเกลือ มะนาว ใบข่อย เปลือกกล้วย เหล่านี้มีสารในการขจัดคราบสกปรกบนฟัน สามารถช่วยให้คราบฟันนั้นหลุดออกไปได้ เพียงแต่ต้องใช้อย่างต่อเนื่องและไม่ควรขัดฟันแรงเกินไปนัก เพราะอาจจะทำให้เคลือบฟันเกิดความเสียหายได้
3. ขูดหินปูน ทุกๆ 6 เดือน บางครั้งคราบเหลืองๆ ของฟันนั้นเกิดมาจากหินปูนที่สะสมอยู่มาก ดังนั้นก่อนอื่นเลยคงต้องทำการกำจัดเจ้าหินปูนนี้ออกไปให้หมดเสียก่อน
4. ใช้ผลิตภัณฑ์ฟอกฟัน ส่วนใหญ่มักมาในรูปของยาสีฟันและน้ำยาบ้วนปากที่มีส่วนผสมของ สารฟอกฟันซึ่งจะช่วยทำให้ฟันของคุณขาวกระจ่างขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แต่ข้อแนะนำก็คือก่อนการใช้ผลิตภัณฑ์ประเภทนี้ควรแปรงฟันด้วยยาสีฟันที่มีส่วนผสมของโพแทสเซียมไนเตรด (Potassium Nitrate) เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ทั้งนี้ก็เพราะมันจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเคลือบฟันของคุณ ไม่ทำให้เปราะบางจนเกินไป
5. ใช้น้ำมะนาว เพราะน้ำมะนาวมีฤทธิ์เป็นกรด และคุณสมบัติที่เหมือนสารฟอกขาวนี้เอง เมื่อคั้นน้ำออกมาผสมกับน้ำเปล่าในอัตราส่วนที่เท่ากัน แล้วนำไปถูฟัน ก็จะช่วยทำให้ฟันขาวขึ้นได้
6. ใช้เปลือกกล้วย (แนะนำเป็นกล้วยหอม) โดยนำผิวเปลือกกล้วยด้านใน มาขัดๆถูๆ บริเวณฟัน ประมาณ 3 นาที แร่ธาตุต่างๆจากเปลือกกล้วย เช่น โพแทสเซียม แมกนีเซียม และแมงกานีส จะช่วยดูดซับคราบสกปรกและเพิ่มความขาวของฟันได้
7. หากทดลองทุกวิธีแล้วยังไม่ได้ผล บางทีอาจเกิดจากสาเหตุอื่นก็ได้ เช่นลิ้นอาจไม่ได้รับการทำความสะอาดที่ดีเพียงพอ ทำให้เกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรีย และเป็นสาเหตุของฟันที่มีสีเหลืองไม่สวยงามของคุณก็ได้
8. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินโดยหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มประเภทชา กาแฟ หรือผลไม้ที่มีสีจัดทั้งหลาย ทั้งนี้ก็เพราะมันเป็นส่วนหนึ่งของสาเหตุที่ทำให้ฟันของคุณดูไม่ขาวเท่าที่ควร
การจะรักษาสุขภาพฟันให้ดูดีและขาวสะอาดอยู่ตลอดเวลานั้น นอกจากจะต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินของคุณด้วยแล้ว ยังต้องหมั่นรักษาความสะอาด และหมั่นไปพบแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการดูแลรักษาฟันอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพฟันที่ดีของตัวเรา

วิธีกำจัดริ้วรอยตีนกาบนใบหน้า ร่องรอยก่อนวัยเหล่านี้เกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง


วิธีกำจัดริ้วรอยตีนกาบนใบหน้า ร่องรอยก่อนวัยเหล่านี้เกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง

      ริ้วรอยบนในหน้ามักเป็นปัญหาที่ทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่ต้องกังวล โดยเฉพาะริ้วรอยที่เกิดขึ้นก่อนวัยอันควร อย่าง “ตีนกา” สาว ๆ หลายคน คงไม่อยากได้ยินคำนี้ แล้วทำไม..เจ้าตีนกาจึงต้องมาทำลายผิวหน้าของเราด้วยนะ ในปัจจุบันสาวยุคใหม่จะต้องออกไปทำงานนอกบ้าน ทำให้มีเวลาในการดูแลตัวเองลดน้อยลง แถมยังต้องเจอสภาพแวดล้อมที่เป็นมลพิษ อย่างฝุ่นควัน และแสงแดด บวกกับสภาพจิตใจ อย่างภาวะความเครียด ทั้งเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว สาวๆ ลองมาสำรวจตัวเองกันดีกว่า ว่าพฤติกรรมอะไรบ้างที่เป็นสาเหตุก่อให้เกิดริ้วรอยตีนกากันบ้าง
วิธีกําจัดริ้วรอยตีนกาบนใบหน้า ร่องรอยก่อนวัยเหล่านี้เกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง
1. การแสดงสีหน้าต่างๆ เช่น การยิ้ม การหัวเราะ การร้องไห้ รวมถึงเมื่อเกิดความเครียดเรามักจะคิ้วขมวด อาการเหล่านี้เมื่อกระทำบ่อยๆ จะทำให้เกิดริ้วรอย ความเหี่ยวย่น ได้ง่าย
2. การสูบบุหรี่ นอกจากจะเป็นอันตรายต่อปอดแล้ว ยังมีผลให้เลือดส่งออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์ผิวหน้าได้อย่างไม่เต็มประสิทธิภาพ จึงทำให้ผิวหน้าของเราเหี่ยวย่น การสูบบุหรี่นอกจากจะส่งผลเสียต่อตนเองแล้ว ยังส่งผลต่อคนรอบข้างด้วยนะคะ
3. พักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายของเราก็ต้องการการพักผ่อน เพื่อฟื้นฟูสภาพผิวให้มีสุขภาพดีขึ้น และยังช่วยให้เซลล์ผิวได้ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สาวๆจึงควรนอนหลับพักผ่อนให้ได้อย่างน้อยวันละ 7 – 8 ชั่วโมง เพราะการพักผ่อนที่เพียงพอนั้นนอกจากจะช่วยลดปัญหาเรื่องริ้วรอยตีนกาแล้ว ยังช่วยทำให้ผิวพรรณของเราดูเปล่งปลั่ง สดใสขึ้นได้อีกด้วย
4. การขยี้ตาบ่อย ๆ จะทำให้เกิดริ้วรอยตีนกาได้ ในช่วงแรกๆ จะเกิดริ้วรอยแบบตื้นๆ บนใบหน้า เมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าริ้วรอยผิวที่ปลอบช้ำจึงทำให้เกิดตีนกาอย่างถาวร ดังนั้นเราควรหลีกเลี่ยงการขยี้ตาแรงๆ หากเมื่อรู้สึกคันตา ให้ใช้วิธีหลับตาแล้วใช้นิ้วกดเบาๆ ก็พอนะคะ
5. หัดออกกำลังกันบ้าง จะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้น หากเราลองสังเกตดูว่าตอนออกกำลังกายหน้าของเราจะมีเลือดฝาด ซึ่งเป็นตัวช่วยที่ทำหน้าผิวหน้าของเราแข็งแรง เต่งตึง สดใส ไร้ริ้วรอยได้อย่างดีที่สุด
6. ลืมทาครีมบำรุงผิวรอบดวงตา เพราะครีมบำรุงผิวเป็นตัวช่วยอีกทางหนึ่ง ที่เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวรอบดวงตาได้ ควรเลือกครีมรอบดวงตาที่มีประสิทธิภาพ เพราะบริเวณรอบดวงตาบอบบางมาก เวลาทาครีมให้ใช้เนื้อครีมประมาณ 1 เมล็ดถั่วเขียว แนะนำว่า สาวๆ ควรใช้นิ้วนางในการทาในบริเวณนี้ ทาให้เบามือไม่อย่างนั้นจะเกิดริ้วรอยได้นะคะ
คราวนี้ สาวๆก็พอจะทราบถึงสาเหตุของการเกิดริ้วรอยกันแล้วนะคะ ดังนั้นเรามาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเหล่านี้กันเถอะ สาวๆ จะได้มีสายตาที่ประกายสดใสอีกครั้ง พร้อมกับคืนความอ่อนเยาว์ของผิวหน้า เพียงแค่คุณใส่ใจในเรื่องเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ ผิวของคุณก็จะเกิดริ้วรอยได้ยากขึ้นแล้วหละค่ะ

โรคไวรัสอีโบลา


โรคไวรัสอีโบลา



โรคไวรัสอีโบลา หรือไข้เลือดออกอีโบลา เป็นโรคของมนุษย์ที่เกิดจากไวรัสอีโบลา ตรงแบบเริ่มมีอาการสองวันถึงสามสัปดาห์หลังสัมผัสไวรัส โดยมีไข้ เจ็บคอ ปวดกล้ามเนื้อและปวดศีรษะ จากนั้นมีคลื่นไส้ อาเจียนและท้องร่วงร่วมกับการทำหน้าที่ของตับและไตลดลงตามมา เมื่อถึงจุดนี้ บางคนเริ่มมีปัญหาเลือดออก

บุคคลรับโรคนี้ครั้งแรกเมื่อสัมผัสกับเลือดหรือสารน้ำในร่างกายจากสัตว์ที่ติดเชื้อ เช่น ลิงหรือค้างคาวผลไม้ เชื่อว่าค้างคาวผลไม้เป็นตัวพาและแพร่โรคโดยไม่ได้รับผลกระทบจากไวรัส เมื่อติดเชื้อแล้ว โรคอาจแพร่จากคนสู่คนได้ ผู้ที่รอดชีวิตอาจสามารถส่งผ่านโรคทางน้ำอสุจิได้เป็นเวลาเกือบสองเดือน ในการวินิจฉัย ต้องแยกโรคอื่นที่มีอาการคล้ายกันออกก่อน เช่น มาลาเรีย อหิวาตกโรคและไข้เลือดออกจากไวรัสอื่น ๆ อาจทดสอบเลือดหาแอนติบอดีต่อไวรัส ดีเอ็นเอของไวรัส หรือตัวไวรัสเองเพื่อยืนยันการวินิจฉัย

การป้องกันรวมถึงการลดการระบาดของโรคจากลิงและหมูที่ติดเชื้อสู่คน ซึ่งอาจทำได้โดยการตรวจสอบหาการติดเชื้อในสัตว์เหล่านี้ และฆ่าและจัดการกับซากอย่างเหมาะสมหากพบโรค การปรุงเนื้อสัตว์และสวมเสื้อผ้าป้องกันอย่างเหมาะสมเมื่อจัดการกับเนื้อสัตว์อาจช่วยได้ เช่นเดียวกับสวมเสื้อผ้าป้องกันและล้างมือเมื่ออยู่ใกล้ผู้ที่ป่วยเป็นโรคดังกล่าว ตัวอย่างสารน้ำร่างกายจากผู้ป่วยควรจัดการด้วยความระมัดระวังเป็นพิเศษ

ไม่มีการรักษาไวรัสอย่างจำเพาะ ความพยายามช่วยเหลือผู้ป่วยมีการบำบัดคืนน้ำ (rehydration therapy) ทางปากหรือหลอดเลือดดำ โรคนี้มีอัตราตายสูงระหว่าง 50% ถึง 90% ของผู้ติดเชื้อไวรัส[1][2] มีการระบุโรคนี้ครั้งแรกในประเทศซูดานและสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ตรงแบบเกิดในการระบาดในเขตร้อนแอฟริกาใต้สะฮารา ระหว่างปี 2519 ซึ่งมีการระบุโรคครั้งแรก และปี 2555 มีผู้ติดเชื้อน้อยกว่า 1,000 คนต่อปี[1][3] การระบาดครั้งใหญ่ที่สุดจนถึงปัจจุบัน คือ การระบาดของอีโบลาในแอฟริกาตะวันตก พ.ศ. 2557 ซึ่งกำลังดำเนินอยู่ โดยระบาดในประเทศกินี เซียร์ราลีโอนและไลบีเรีย[4] จนถึงเดือนกรกฎาคม 2557 มีผู้ป่วยยืนยันแล้วกว่า 1,320 คน[4] แม้จะมีความพยายามพัฒนาวัคซีนอยู่ แต่จนถึงบัดนี้ยังไม่มีวัคซีน

สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 10. Banaue Rice Terraces

สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 10. Banaue Rice Terraces
รวม 10 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

            Banaue Rice Terraces
 จังหวัดอีฟูเกา ประเทศฟิลิปปินส์ คือ บันไดข้าวอายุกว่าพันปี ที่แกะสลักจากภูเขาทั้งลูก เพื่อใช้เป็นพื้นที่ปลูกข้าว สมัยก่อนนั้นการทำนาจะต้องใช้พื้นที่ราบ หากแต่พื้นที่ภูมิประเทศบริเวณนี้เต็มไปด้วยเขาสูงมีที่ราบน้อย ปริมาณน้ำและเนื้อที่ในการทำการเกษตรจึงเป็นปัญหา ด้วยภูมิปัญญาชาวบ้าน จึงได้คิดวิธีทำนาแบบขั้นบันไดขึ้นตามไหล่เขา โดยสกัดไหล่เขาให้เป็นชั้นๆ ลดหลั่นลงมาเป็นขั้นบันได เพื่อช่วยเพิ่มเนื้อที่ในการเพาะปลูก เป็นการรักษาหน้าดินไม่ให้ถูกชะล้างไป อีกทั้งยังช่วยแก้ปัญหาเรื่องน้ำทั้งในแง่การชลประทานโดยการเก็บกักน้ำฝน และยังช่วยป้องกันน้ำท่วมอีกด้วย โดยนาข้าวที่บานาเวนั้นเป็นภูเขาสูงอยู่เหนือน้ำทะเล 5,000 ฟุต นาข้าวแต่ละแห่งมีเนื้อที่ 10,360 ตารางกิโลเมตร และในปี ค.ศ. 1985 องค์การยูเนสโกได้จัดสถานที่นี้เป็นมรดกโลก
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 9. Sigiriya
รวม 10 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก Sigiriya

         Sigiriya เป็นเมืองใหญ่โบราณมหึมาของศรีลังกา สร้างขึ้นโดยพระเจ้ากัสสัปปะ ประมาณ ค.ศ. 470 โดยพระองค์ได้สร้างเมืองนี้ขึ้นเพื่อให้เป็นโลกศักดิ์สิทธ์ของพระองค์ ครอบคลุมพื้นที่กว่า 1,300,000 ตาราง เมตร มีถนน มีระบบชลประทาน และสถานที่เกี่ยวกับศาสนามากมาย หนึ่งในนั้นคือถ้ำที่พระองค์ทรงสร้างเพื่อมอบแก่พุทธสาวกให้เป็นสถานปฏิบัติธรรม  แต่สิ่งที่น่าอัศจรรย์ที่สุด คือ ที่ใจกลางเมือง มีภูผาหินขนาดยักษ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระราชวังกับป้อมปราการอันน่าเกรงขาม และทิวทัศน์ตระการตารอบด้าน ฐานของป้อมที่ก่อด้วยอิฐ มีอายุมากกว่า 1,500 ปี และถือเป็นหนึ่งในมรดกโลกของศรีลังกา
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 8. Torun
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 8. Torun
       เมือง ทอรูน เป็นเมืองทางตอนเหนือของประเทศโปแลนด์ ที่ยังคงสภาพเป็นเมืองเก่าสมัยกลาง และเป็นบ้านเกิดของ Nicolaus Copernicus นักดาราศาสตร์เจ้าของทฤษฏี “โลกเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล” โดยเมือง Torun มีอายุถึง 1,100 ปี ซึ่งเป็นที่ตั้งถิ่นฐานเก่าของโปแลนด์ ความโดดเด่นอยู่เป็นเมืองศูนย์กลางการค้าและรวมสถานที่เก่าแก่มากมาย ที่สำคัญคงสภาพเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยแต่อย่างใด
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 7. Tower of Hercules
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 7. Tower of Hercules

     ประภาคารเฮอร์คิวลิส
 เป็นประภาคารและประตูสู่ ลา คอรุนญา เมืองท่าสำคัญ ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของสเปน สร้างขึ้นโดยชาวโรมันในศตวรรษที่ 2 ก่อน คริสตกาล ผู้อาศัยในนิคมนี้ได้สร้างตำแหน่งทางยุทธศาสตร์ไว้ และในไม่ช้าเมืองนี้ก็กลายเป็นเขตสำคัญของการค้าทางทะเล ส่วนหอเฮอร์คิวลิส เป็นประภาคารที่เปิดทำการต่อเนื่องมาเป็นเวลาเกือบ 1,900 ปี ซึ่งในบริเวณเดียวกันมีสวนประติมากรรม หินแกะสลักจากเหล็ก และสุสานมุสลิม ในยุคที่อาณาจักรโรมันยังเรืองอำนาจ ถือเป็นลักษณะเฉพาะตัวที่แสดงถึงประภาคารโบราณสมัยกรีก-โรมัน ซึ่งยังคงความสมบูรณ์ของสถาปัตยกรรมไว้
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 6. Ajanta Caves

       ถ้ำอชันตา
 ได้ชื่อว่าเป็นวัดถ้ำในพุทธศาสนาที่งดงามและเก่าแก่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่กลางเทือกเขาสลับซับซ้อน ในบริเวณฝั่งตะวันตกของที่ราบสูงเดกกัน (Deccan Plateau) การสร้างนั้นใช้วิธีขุดเจาะเข้าไปในหินบาซอลต์ (แกรนิตแข็ง) ก้อนเดียวจนเป็นวิหารขนาดใหญ่ โดยใช้เพียงสิ่วและค้อนเท่านั้น ภายในเวลาทั้งสิ้น 800 ปี เริ่มเจาะตั้งแต่สมัยพุทธศตวรรษที่ 3 จนกลายเป็นถ้ำมากกว่า 30 ถ้ำ เรียงตัวกันยาวหลายร้อยเมตรบนเชิงเขาสูงวงโค้งรูปพระจันทร์เสี้ยว ภายในมีวิหารขนาดใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยงานแกะสลักหิน ทั้งเจดีย์ พระพุทธรูป และเรื่องราวต่างๆ ในพุทธประวัติและชาดก โดยไม่ผุพังตามกาลเวลาแม้แต่น้อย ถ้ำอชันตาสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่อยู่ของสงฆ์ ให้แยกตัวอย่างสันโดษ แต่ภายหลังเมื่อพระพุทธศาสนาเสื่อมถอย สถานที่แห่งนี้ก็เริ่มหมดความสำคัญลง ขาดการดูแล และถูกทิ้งร้างไปในที่สุด จนกระทั่งเลือนหายไปจากความทรงจำของชาวอินเดีย จนกระทั่งถูกค้นพบอีกครั้งโดยกองทหารอังกฤษ ในปี ค.ศ. 1819
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 5. Valley of Flowers
สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่

       หุบเขาดอกไม้
 เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่อยู่ในเทือกเขาหิมาลัย ใน รัฐ Uttaranchal ทางตอนเหนือของประเทศอินเดีย สวยงามเสมือนสวรรค์บนดินจนถูกนำมาบรรยายในวรรณคดีมาหลายศตวรรษ และปรากฏในศาสนาฮินดูมาช้านาน เพราะที่นั้นมีทะเลสาบศักดิ์สิทธิ์เฮ็มกุน สถานที่ซึ่งพวกพราหมณ์ชอบนำน้ำจากทะเลสาบมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนา ทั้งยังได้รับความสนใจจากนักพฤษศาสตร์ เพราะเต็มไปด้วยพรรณไม้ ดอกไม้นานาพันธุ์ ด้วยความอุดมสมบูรณ์จึงถูกประกาศให้เป็นมรดกโลก และอุทยานแห่งชาติในปี ค.ศ. 1982
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 4. Metéora
       เมทิโอร่า ตั้งอยู่ตอนกลางของประเทศกรีซ เป็นสถานที่ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวนิยมจำนวนมาก ด้วยความเป็นแปลกตรงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสร้างอยู่บนก้อนหินขนาดสูงใหญ่ โดยอดีตสถานที่แห่งนึ้ถูกใช้เป็นที่พํานักของนักบวชคริสตนิกายออร์โธด็อกซ์ ผู้สร้างอารามไว้บนยอดเขา จากความเชื่อที่ว่าจะได้อยู่ใกล้ชิดกับสวรรค์และเป็นการง่ายต่อการป้องกันศาสนาอื่นมารุกรานอีกด้วย ด้วยความโดดเด่นของการสร้างสรรค์ของศิลปะแบบไบแซนไทน์ เมทิโอร่า จึงได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก จากยูเนสโกใน ปี ค.ศ. 1988
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 3. Bagan
       พุกาม เมืองสำคัญแห่งพม่า เคยเป็นที่ตั้งอาณาจักรโบราณพุกามซึ่งเป็นอาณาจักรแห่งแรกในประวัติศาสตร์พม่า ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตมัณฑะเลย์ ดินแดน พุกาม แบ่งออกเป็น 3 ส่วน ได้แก่ เขตเมืองเก่า (เขตที่ตั้งอาณาจักรพุกาม) เขตเมืองใหม่ (เขตที่อยู่อาศัยปัจจุบัน) และยองอู (เขตพาณิชยกรรมและเศรษฐกิจ) มีสนามบินชื่อ สนามบินยองอู เป็นสนามบินประจำเมือง รายได้หลักของเมืองคือ การท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ทุกปีจะมีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกมาเยือนที่นี่เสมอ โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวจากแถบเอเชียด้วยกัน เนื่องจากพุกามได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งทะเลเจดีย์ที่สวยงามและมีคุณค่า หรือ ดินแดนแห่งเจดีย์สี่พันองค์ เพราะในสมัยรุ่งเรืองเคยมีเจดีย์มากมายถึง 4,446 องค์ แต่ปัจจุบันเหลือเพียง 2,217 องค์
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 2. Leptis Magna

           เมืองเลปติส เมกนา
 ตั้งอยู่ทางตะวันออกของกรุงทริโปลี ประเทศลิเบีย ถูกขนามนามว่าเป็น อาณาจักรโรมันที่มีชื่อเสียงและงดงามมากที่สุดในแอฟริกา ซึ่งปัจจุบันยังคงสภาพสวยงามรุ่งโรจน์ เพราะอาณาจักรถูกสร้างด้วยหินปูน จึงทนต่อการเกิดแผ่นดินไหวนับครั้งไม่ถ้วน นอกจากความงดงามแล้ว จุดเด่นยังอยู่ที่ผังเมืองซึ่งถูกจัดวางอย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นถนน อาคารต่างๆ แสดงให้เห็นถึงความเจริญของ อาณาจักร เลปติส เมกนา ในช่วง ปี 111 ก่อนคริสต์กาล จนถึงช่วงที่รุ่งเรืองที่สุด ปี ค.ศ. 211 โดยกษัตริย์ Septimus Severus ต่อมาอาณาจักรเริ่มเสื่อมสลายลงในช่วงศตวรรษที่ 4 จนกระทั่งถูกค้นพบอีกครั้งโดยนักโบราณคดีชาวยุโรป และยังคงสภาพสมบูรณ์ไว้อย่างชัดเจน ยูเนสโกจึงประกาศให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1982
สิ่งมหัศจรรย์ของโลก 1.The Library of Celsus

          ห้องสมุดเซลซุส ตั้งอยู่ที่เมืองเอเฟซุส ประเทศตุรกี เมืองเอเฟซุสเป็นถิ่นที่อยู่ของมนุษย์มาตั้งแต่สมัยปลายยุคโลหะ ในราวศตวรรษที่ 7 ก่อน คริสตกาล ภายใต้การปกครองของอาณาจักรลิเดีย ถือเป็นเมืองที่รุ่งเรืองและมั่งคั่งที่สุดในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และรุ่งเรืองถึงขีดสุดอีกครั้งภายใต้การปกครองของโรมัน เป็นเมืองใหญ่ที่สุด 1 ใน 5 ของจักรวรรดิโรมัน และใหญ่ที่สุดในเขตเอเชีย ห้องสมุดเซสซุส ก็เป็นหนึ่งในโบราณสถานที่หลงเหลืออยู่ในอาณาจักรแห่งนี้ แต่ปัจจุบันเหลือเฉพาะด้านหน้าของอาคารเท่านั้น ห้องสมุดเซลซุส เป็นอาคาร 2 ชั้น สร้างในปี ค.ศ. 114-117 โดย ดิเบริอุส จูลิอุส อาควิลา เพื่ออุทิศให้กับ ดิเบริอุส จูลิอุส เซลซุส ผู้เป็นบิดา โดยฝังโลงศพหินเอาไว้ที่ใต้หอสมุดและใช้เป็นแหล่งรวบรวมความรู้ แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ในอดีต ห้องสมุดแห่งนี้มีทางเข้า 3 ทาง ตรงประตูทางเข้ามีรูปแกะสลักเทพี 4 องค์ประดับอยู่ ได้แก่ เทพีแห่งปัญญา เทพีแห่งคุณธรรม เทพีแห่งความเฉลียวฉลาด และเทพีแห่งความรู้ รูปแกะสลักเหล่านี้เป็นองค์จำลอง องค์จริงนั้นนักโบราณคดีชาวออสเตรียได้นำกลับไปออสเตรีย และตั้งแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กรุงเวียนนา
ข้อมูล www.siamrecorder.com