วันพฤหัสบดีที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2557

เด็กตาเพชร แพทย์แนะพาไปตรวจ คาดเกิดจากพันธุกรรม

    

เด็กตาเพชร แพทย์แนะพาไปตรวจ คาดเกิดจากพันธุกรรม


เด็กตาเพชร แพทย์ ชี้ อาจเกิดจากพันธุกรรม ม่านตาสร้างเม็ดสีน้อยกว่าปกติ พร้อมแนะให้ไปตรวจอย่างละเอียดที่ ม.สงขลานครินทร์ เพื่อวินิจฉัยว่าเป็นอะไรกันแน่ 

         จากกรณีที่พบน้องเนตร อายุ 6 ขวบ และน้องณัฐ อายุ 1 ขวบครึ่ง สองพี่น้องชาวนครศรีธรรมราช มีดวงตาข้างหนึ่งเป็นสีฟ้าคล้ายกับตาเพชร มองเห็นในที่มืด ทำให้มารดาของเด็กทั้งสองคนรู้สึกหวั่นวิตกกลัวว่าลูกจะมีความผิดปกติ พร้อมกับขอให้ผู้เชี่ยวชาญเข้ามาตรวจร่างกายลูก ๆ ทั้งสองคนด้วยนั้น

         วันนี้ (17 กันยายน 2557) รายการเรื่องเล่าเช้านี้ ทางช่อง 3 รายงานว่า ผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปสอบถาม นพ.วิรุต หนูขาว จักษุแพทย์ประจำโรงพยาบาลทุ่งสง ที่เคยตรวจรักษาเด็กทั้งสองคนทราบว่า คุณแม่เคยพาน้องเนตรมาตรวจแล้วเมื่อหลายปีก่อน เบื้องต้นพบว่าดวงตาของเด็กไม่มีปัญหาด้านการมองเห็น มีเพียงสีของลูกตาเท่านั้นที่มีสีฟ้าสลับขาว คาดว่าเกิดขึ้นจากพันธุกรรม หากย้อนกลับไปในบรรพบุรุษอาจมีคนที่มีดวงตาลักษณะนี้ 
         ทั้งนี้ในกรณีที่ดวงตามีความไม่ปกติ ผู้ปกครองควรพาเด็กมาตรวจซ้ำเป็นระยะเพื่อให้แพทย์วินิจฉัยถึงความเปลี่ยนแปลงว่าเป็นอย่างไร โดยเท่าที่ตรวจเมื่อหลายปีก่อนพบว่าไม่เป็นอันตราย แต่ก็อยากจะแนะนำให้พาเด็กมาตรวจอีกครั้ง รวมทั้งน้องณัฐด้วย เพื่อจะได้แน่ใจว่าไม่เป็นอันตราย นอกจากนี้ยังจะต้องตรวจร่างกายดูลักษณะอื่น ๆ เพื่อวินิจฉัยว่าเข้าได้กับโรคทางพันธุกรรมอะไรบ้างหรือไม่ ซึ่งมีโรคอยู่หลายกลุ่มที่แสดงออกด้วยอาการเยื่อบุตาสีฟ้า

         ส่วนเรื่องมองเห็นกลางคืนนั้น นพ.วิรุต ระบุว่า ก็อาจเป็นไปได้ เพราะเกิดได้จากเซลล์รับแสงที่สามารถรับแสงในเวลากลางคืนได้มากกว่าคนปกติ

เด็กตาเพชร แพทย์แนะพาไปตรวจ คาดเกิดจากพันธุกรรม

         ด้าน นพ.ไพศาล ร่วมวิบูลย์สุข ประธานราชวิทยาลัยจักษุแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวถึงอาการของเด็กทั้งสองคนหลังจากดูภาพถ่ายว่า เมื่อดูจากภาพ ดวงตาสีฟ้าอาจเกิดจากการสร้างเม็ดสีผิดปกติของม่านตา คือสร้างเม็ดสีน้อยกว่าปกติ ทำให้ม่านตามีสีขาวบางส่วน ซึ่งเกิดได้เองตามธรรมชาติ เช่น คนเผือกจะเป็นคนที่สร้างเม็ดสีน้อยกว่าปกติ จะมีดวงตาสีฟ้า แต่สำหรับเด็กทั้งสองคนไม่ถึงขนาดคนเผือก 

         อย่างไรก็ตาม นพ.ไพศาล ก็ได้แนะนำให้พาเด็กไปตรวจที่ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ โดยจะประสานกับอาจารย์แพทย์ให้ เพื่อจะได้ทราบว่าเด็กเป็นอะไร มีความเสี่ยงอะไรบ้าง เพื่อแยกโรคได้ถูกต้อง ทั้งนี้หากอาการนี้เกิดจากการสร้างเม็ดสีผิดปกติก็จะไม่มีผลอะไร สามารถมองเห็นได้ตามปกติ และจะเป็นไปตลอดชีวิต ส่วนเรื่องการมองเห็นในที่มืดนั้นต้องพิสูจน์อีกทีว่ามองเห็นได้ขนาดไหน พร้อมยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ ที่ผ่านมาประเทศไทยก็เคยพบคนที่มีดวงตาลักษณะนี้มาแล้ว

แมวมงคลของไทย 17 ชนิด






 
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
 
         หากพูดถึง แมว เราจะนึกถึงสัตว์เลี้ยงตัวเล็ก น่ารัก ขี้อ้อนและแสนซนจนทำให้เจ้าของหลงรักและเลี้ยงไว้เสมือนเป็นสมาชิกหนึ่งในครอบครัว ซึ่งแมวนั้นก็มีหลากหลายสายพันธุ์ แต่สำหรับแมวพันธุ์ไทยแท้ คนกลับไม่นิยมเลี้ยงเหมือนแมวพันธุ์ต่างประเทศ และแทบจะไม่มีใครรู้เลยว่า ปัจจุบันแมวพันธุ์ไทย เหลืออยู่เพียง 4 สายพันธุ์เท่านั้น คือ วิเชียรมาศ ศุภลักษณ์ โกนจา และสีสวาด
 

         ทั้งนี้ เพื่อเป็นการเผยแพร่ความรู้แก่เด็กเยาวชนและประชาชนทั่วไปที่มีความสนใจเกี่ยวกับเรื่องแมวไทย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้จัดเสวนาเรื่อง "แมวไทย อีกสัญลักษณ์หนึ่งของชาติไทย"  ซึ่งได้มีการเผยแพร่ประวัติความเป็นมาของแมวไทยโบราณพันธุ์แท้ว่า ตามหลักฐานที่ปรากฏในสมุดข่อยโบราณ กล่าวไว้ว่าแมวไทยมีทั้งหมด 23 ชนิด เป็นแมวมงคล 17 ชนิด และแมวร้ายให้โทษ 6 ชนิด 
 
         แมวมงคล 17 ชนิด มีดังนี้
 
         1. นิลรัตน์ 

              ลักษณะ สีดำทั้งตัว รวมถึงเล็บ ลิ้น ฟัน ดวงตา และกระดูก หางยาวตวัดได้จนถึงหัว เลี้ยงไว้แล้วเชื่อว่าจะมีความเจริญ มีทรัพย์ ปราศจากอันตราย

         2. วิลาศ 

              ลักษณะ มีลำตัวสีดำจากคอไปตลอดท้อง จากสองหูไปจนถึงหางและขาทั้งสี่มีสีขาว ตาสีเขียว เชื่อว่าเลี้ยงไว้แล้วจะได้เป็นเจ้าคนนายคน มีเงินทองมากมาย


พันธฺุ์ศุภลักษณ์
         3. ศุภลักษณ์ หรือ ทองแดง 
                   
             ลักษณะ สีขนเป็นสีทองแดงตลอดตัว มีนัยน์ตาเป็นประกาย ใครเลี้ยงจักได้ยศถา ยิ่งพ้นพรรณนาเป็นอำมาตย์มนตรี

         4. เก้าแต้ม 

              ลักษณะ มีสีขาวเป็นพื้น มีแต้มสีดำเก้าจุดที่คอ หัว ต้นขาหน้าและหลังทั้งสองข้างและที่ท้ายลำตัว เชื่อว่าเลี้ยงไว้แล้วจะรุ่งเรืองทางการค้าขาย

         5. มาเลศ หรือ แมวโคราช หรือ สีสวาด 

              ลักษณะ มีขนสีดอกเลาเปรียบเสมือนกับเมฆสีเทายามฟ้ายับฝน มีนัยน์ตาหยาดเยิ้มประหนึ่งน้ำค้างย้อยต้องกลีบบัว ใครพบเร่งให้อุปถัมภ์ แมวนั้นจักนำมาซึ่งสุขสวัสดิ์มงคล

         6. แซมเศวต 

             ลักษณะ  มีขนสีดำแซมขาว มีขนบางและสั้น รูปร่างเพรียว มีนัยน์ตาดั่งหิ่งห้อย เลี้ยงดีมีคุณหนักหนา จงเร่งหามาเลี้ยงเทอญอย่าแคลงสงสัย

         7. รัตนกัมพล 

             ลักษณะ ตัวขาวเหมือนหอยสังข์ แต่รอบตัวตรงส่วนอกมีลักษณะคล้ายสายคาดสีดำ ตาสีเหลือง เชื่อว่าเลี้ยงแล้วจะมียศ ผู้อื่นยำเกรง


พันธุ์วิเชียรมาศ
         8. วิเชียรมาศ 

             ลักษณะ เมื่อแรกเกิดมีขนสีขาวหมด พอโตขึ้นจะมีสีเปลี่ยนเป็นสีครีมอ่อน ๆ แต่ที่หน้า หาง เท้าทั้งสี่หูทั้งสองข้าง และที่อวัยวะเพศอีก 1 แห่งรวมเก้าแห่งมีสีน้ำตาล (สีเข้ม) มีนัยน์ตาประกายสีฟ้าสดใส เลี้ยงไว้มีคุณค่ายิ่งลำนักหนา จักนำโภคาพิพัฒน์สมบัติเพิ่มพูล

         9. นิลจักร 

              ลักษณะ มีลำตัวดำสนิท ที่คอมีขนสีขาวอยู่รอบเหมือนกับปลอกคอ เชื่อว่าเลี้ยงแล้วจะมีทรัพย์มาก

         10. มุลิลา 

              ลักษณะ ลำตัวดำ หูสองข้างมีสีขาว ตามีสีเหลืองเหมือนดอกเบญจมาศ เชื่อว่าแมวชนิดนี้เหมาะกับนักบวชเลี้ยงเพราะช่วยให้มีการเล่าเรียนดีสมปรารถนา

         11. กรอบแว่นหรืออานม้า 

              ลักษณะ มีปานลักษณะอานม้าบนหลัง เชื่อว่าแมวชนิดนี้มีราคาสูงถึงแสนตำลึงทองคำ และให้เกียรติยศแก่เจ้าของ

         12. ปัดเสวตรหรือปัดตลอด 

              ลักษณะ ตัวมีสีดำเป็นพื้น ตั้งแต่จมูกไปตามแนวสันหลังถึงปลายหางมีสีขาว ตาเหลืองคล้ายกับพลอย หากเลี้ยงไว้จะมีความเจริญมากกว่าคนในสกุลเดียวกันและได้ลาภยศ

         13. กระจอก 

              ลักษณะ ไม่กระจอกเหมือนชื่อ ลำตัวกลมมีสีดำ รอบปากมีสีขาว ตาสีเหลือง เลี้ยงแล้วเชื่อกันว่าจะได้ที่ดินเงินทอง ไพร่ก็จะได้เป็นเจ้านายคน

         14. สิงหเสพย์ หรือ โสงหเสพย์

             ลักษณะ ลำตัวมีสีดำ ที่ปาก รอบคอ จมูกมีสีขาว ตาสีเหลือง ท่าทางเดินสง่าเหมือนสิงโต เลี้ยงแล้วมีสิริมงคล

         15. การเวก 

              ลักษณะ ลำตัวสีดำ จมูกสีขาว ตาเป็นประกายสีทอง เชื่อกันว่าภายใน 7 เดือนที่ได้มาเลี้ยงจะได้ยศศักดิ์และลาภจำนวนมาก

         16. จตุบท 

              ลักษณะ ตัวสีดำ เท้าทั้งสี่มีสีขาว ตาสีเหลืองเหมือนดอกโสน เชื่อว่าให้คุณกับคนเลี้ยง แต่ไม่เหมาะกับคนทั่วไป สมควรเลี้ยงแก่บุคคลชั้นสูงหรือราชินิกูลเท่านั้น

         17. โกนจา หรือ ดำปลอด

              ลักษณะ มีสีดำละเอียด นัยน์ตาสีดอกบวบแรกแย้ม หางเรียวยาว ท่าทางการเดินสง่าเหมือนสิงโต แมวนี้เลี้ยงดีมีคุณหนักหนา จงเร่งหามาเลี้ยงเทอญอย่าแคลงสงสัย
 


        แมวร้ายให้โทษ 6 ชนิด มีดังนี้ 
 
        1. ทุพพลเพศ 

              ลักษณะ มีขนสีขาว ดวงตาสีแดงดั่งโลหิตทาตาไว้ มีนิสัยไม่ดีชอบลักขโมยปลาไปกินทุกคำคืน ใครเลี้ยงไว้จะให้โทษไม่เป็นสุขเกิดความเดือดร้อนแรงผลาญ

         2. พรรณพยัคฆ์หรือลายเสือ 

              ลักษณะ มีขนลายเหมือนเสือ ลักษณะขนเหมือนชุบด้วยเกลือกับแกลบ มีนัยน์ตาสีแดงเจือสีเปือกตม มีเสียงร้องเหมือนเสียงผีโป่งร้องอยู่ตามป่าเขา ถือว่าเป็นแมวให้โทษอีกชนิดหนึ่ง

         3. ปีศาจ 

              ลักษณะ เป็นแมวที่กินลูกตัวเอง ออกลูกมากี่ตัวกินหมด ลักษณะขนสาก ตัวผอม หนังยาน โบราณจัดเป็นแมวร้ายอย่านำมาเลี้ยงไว้

         4. หิณโทษ 

              ลักษณะ เป็นแมวนำมาซึ่งสิ่งเลวร้าย นำภัยพิบัติมาสู่บ้าน ใครเลี้ยงไว้จะไม่เป็นมงคล ออกลูกมามักจะมีลูกตายอยู่ในท้อง

         5. กอบเพลิง 

              ลักษณะ เป็นแมวที่ลึกลับชอบซ่อนตัวหลบหลีกผู้คน พอมันเห็นคนมันจะเดินหรือรีบวิ่งหนี ใครเลี้ยงไว้จะมีโทษถึงตัว

         6. เหน็บเสนียด 

              ลักษณะ มีลักษณะเหมือนค่าง ชอบเอาหางขดซ่อนไว้ใต้ก้นเสมอ มีรูปร่างพิกลพิการ อย่าเลี้ยงไว้ในบ้านจะทำให้เสียชื่อเสียงและเกียรติยศ

 
        เนื่องจากประเทศไทยไม่ได้มีการอนุรักษ์แมวไทยอย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทำให้ปัจจุบันนี้แมวมงคลสูญพันธุ์ไปแล้วถึง 13 ชนิด หลงเหลือให้คนรุ่นหลังได้ชมเพียง 4 ชนิดเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องน่าเสียดายมากที่พันธุ์แมวไทยแท้เหลือน้อยลงทุกวัน เพราะคนไทยมองข้ามแมวไทยหันไปเลี้ยงแมวสายพันธุ์ของต่างประเทศเป็นจำนวนมาก แต่สถานการณ์แมวไทยน่าเป็นห่วงเพราะเด็กและแม้แต่ผู้สูงอายุบางคนยังไม่รู้จักแมวไทย โดยราคาค่าตัวแมวไทยปัจจุบันจะอยู่ที่ 5,000-6,000 บาท
 
        ทั้งนี้ แมวไทยสามารถเพาะพันธุ์จำหน่ายทำเป็นอาชีพได้ เพราะตลาดต่างชาติให้ความสนใจ ตอนนี้ตลาดในญี่ปุ่นราคาซื้อขายตัวหนึ่งถึง 200,000 แสนบาทเลยทีเดียว ซึ่งทาง คุณอิสริย รัตนะวีระวงศ์ ผู้ที่เพาะพันธุ์แมวไทยสีสวาดหรือแมวโคราช และเป็นเจ้าของ บุญมาก แมวพันธุ์สีสวาดราคา 250,000 บาท เผยว่า ปัจจุบันตลาดต่างประเทศนิยมแมวสีสวาดและแมววิเชียรมาศ ซึ่งได้รับการสั่งซื้อทั้งจากเอสโตเนีย เยอรมนี ญี่ปุ่น ส่วนสาเหตุที่ราคาแพงนั้น เนื่องจากเลี้ยงด้วยเนื้อวัวสด เลี้ยงในห้องแอร์ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อให้ได้โครงสร้างขนาดใหญ่พร้อมฝังไมโครชิปและทำวัคซีนให้ครบ มีใบรับรองหรือเพ็ดดีกรี ก่อนส่งมอบให้เจ้าของที่อายุ 4 เดือน
 

ม้าลายควากกา

ม้าลายควากกา





ม้าลายควากกา (อังกฤษQuaggaชื่อวิทยาศาสตร์Equus quagga quagga) เป็นชนิดย่อยของม้าลายธรรมดา (E. quagga) ชนิดหนึ่ง
ม้าลายควากกา เป็นม้าลายที่มีลวดลายหรือลักษณะที่จำแนกได้เด่นชัดที่สุดในบรรดาม้าลายทั้งหมด เพราะมีลายเฉพาะบริเวณส่วนหัวไล่ลงมาถึงต้นคอเท่านั้น จากนั้นจะจางลงจนเกือบขาวที่บริเวณขา และขนตามลำตัวเป็นสีน้ำตาลอมแดง
ในอดีตม้าลายควากกา อาศัยอยู่ในทุ่งหญ้ากึ่งแห้งแล้งร่วมกับสัตว์อื่น ๆ ในแอฟริกาใต้เมื่อชาวเนเธอร์แลนด์เข้ามาตั้งรกรากในแอฟริกาใต้ ชาวบัวร์ได้ล่าสัตว์ชนิดต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ม้าลายควากกามีขนสวยงาม และอ่อนนุ่มกว่าม้าลายชนิดอื่น ๆ จึงกลายเป็นเป้าหมายของนักล่า ม้าลายควากกาถูกฆ่าเป็นจำนวนมาก เพื่อนำเนื้อมาเป็นอาหาร และใช้หนังเพื่อทำกระเป๋า ม้าลายควากกาตัวสุดท้ายในป่า ถูกยิงตายในปี ค.ศ. 1878 ส่วนม้าลายควากกาตัวสุดท้ายของโลก ตายที่สวนสัตว์อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม ค.ศ. 1883
จากการวิเคราะห์ทางดีเอ็นเอ พบว่าในม้าลายธรรมดา ยังคงมียีนของม้าลายควากกาอยู่ นักวิทยาศาสตร์จึงมีโครงการในการผสมพันธุ์เพื่อให้ม้าลายควากกากลับมาอีกครั้ง[2][3]


นกกีวี

นกกีวี




ลักษณะ[แก้]

ขนาดลำตัวของนกกีวีจะอยู่ประมาณขนาดของไก่บ้าน แต่นกกีวีเป็นนกที่ออกไข่ได้ฟองใหญ่ที่สุดในบรรดานกทั้งหมดเมื่อกับขนาดลำตัว และใช้เวลาฟักนานถึง 3 เดือน โดยตัวผู้ทำหน้าที่ฟักไข่[3]
อุณหภูมิในร่างกายของนกกีวี ปกติจะอยู่ที่ 37-38 องศาเซลเซียส มีปีกขนาดเล็กมาก ยาวเพียง 5 เซนติเมตรเท่านั้น จนแทบจะมองไม่เห็นซ่อนไว้ใต้ขน ไม่มีหาง มีจะงอยปากแหลม มีความยาวประมาณ 20 เซนติเมตร เป็นจุดเด่น มีขนปุกปุยคล้ายขนแมวหรือเส้นผมมนุษย์สีน้ำตาลปกคลุมลำตัว บริเวณใบหน้ามีขนยาวคล้ายหนวด ขุดโพรงอาศัยอยู่บนพื้นดิน มีระบบประสาทการมองเห็นและได้ยินมีพัฒนาการดีเยี่ยม[4] มีนิ้วตีนข้างละ 4 นิ้ว มีเล็บยาว แต่นิ้วหัวตีนเล็กสั้น แตกต่างไปจากนกจำพวกอื่น และใช้นิ้วตีนนี้ในการกระโดดถีบเป็นการป้องกันตัว[3][5]
นกกีวีจำแนกออกเป็นชนิดต่าง ๆ ได้ 5 ชนิด ได้ถูกจัดให้เป็นสัตว์ที่ใกล้สูญพันธุ์ นกกีวีเป็นสัตว์หากินตอนกลางคืน ขี้อาย และชอบอยู่อย่างสันโดษ การใช้ชีวิตแบบสัตว์ตอนกลางคืนแบบนี้ แท้จริงแล้วไม่ได้เป็นธรรมชาติดั้งเดิมของนกกีวี นักวิทยาศาสตร์ได้สันนิษฐานว่าเกิดจากการที่เป็นสัตว์ที่ถูกล่าจากสัตว์นักล่าต่าง ๆ เช่น อินทรีฮาสต์ ซึ่งเป็นอินทรีขนาดใหญ่ กางปีกได้กว้างถึง 10 ฟุต กรงเล็บมีขนาดเท่าอุ้งเท้าของเสือ สามารถล่าสัตว์ขนาดใหญ่อย่าง นกโมอาได้ด้วยซ้ำ จึงทำให้บรรพบุรุษของนกกีวีต้องระแวดระวังตัว แม้ปัจจุบันนี้ทั้งอินทรีฮาสต์และนกโมอาได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว จากการล่าของชาวมาวรี แต่สัญชาติญาณการระแวดระวังตัวของนกกีวียังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน[6][3]
ภาพแสดงการเปรียบเทียบระหว่างตัวนกกีวีกับขนาดของไข่
ภาพขนบริเวณใบหน้า

พฤติกรรมและความสำคัญ[แก้]

นกกีวีอาศัยอยู่ในที่แห้ง โดยเฉพาะในป่า แต่สามารถปรับตัวให้เข้ากับหลาย ๆ สถานที่ได้อย่างง่ายดาย นกกีวีมีประสาทในการดมกลิ่นได้ดีเยี่ยม เช่นเดียวกับนกตัวอื่น ๆ แต่เป็นนกจำพวกเดียวเท่านั้นที่มีรูจมูกอยู่ตรงปลายจะงอยปากที่สามารถรับแรงสั่นสะเทือน และความดันได้เป็นอย่างดี นกกีวีหากินบนพื้นดิน เพราะไม่สามารถปีนป่ายขึ้นต้นไม้ได้[5] ซึ่งอาหารจะได้แก่ แมลงตัวเล็ก ๆ หนอน และเมล็ดพืช แต่บางชนิดจะกินผลไม้ตระกูลเบอร์รี่, ปลาไหล หรือแม้แต่สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ เพราะว่ารูจมูกอยู่ที่ปลายปากแหลม ๆ ทำให้สามารถกินแมลงหรือหนอนใต้ดินได้ลึกถึง 6 นิ้ว โดยที่ไม่ต้องมองเห็น เพียงแค่จิกลงไปเฉย ๆ
เมื่อใดที่นกกีวีหาคู่ได้แล้ว จะอยู่ด้วยกัน 2 ตัวไปตลอดชีวิต ในฤดูผสมพันธุ์ ระหว่างเดือนมิถุนายน-มีนาคม ทั้งสองตัวจะผสมพันธุ์กันตอนกลางคืน ทุก ๆ 3 วัน นกกีวีจะออกไข่ได้ฤดูละ 1 ฟอง ซึ่งเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้จำนวนนกกีวีเพิ่มขึ้นช้า ขณะที่อายุขัยโดยเฉลี่ยของนกกีวีอยู่ที่ 30 ปี นั่นหมายความว่า นกตัวเมียตลอดทั้งชีวิตจะสามารถมีลูกได้ทั้งหมด 30 ตัว[3]
นกกีวีมีความสำคัญมากต่อชาวมาวรี ชนพื้นเมืองของนิวซีแลนด์ ชาวมาวรีมีความเชื่อว่านกกีวีเป็นสัตว์เลี้ยงของเทพเจ้าในป่า ขนของนกกีวีจึงถูกนำมาทำเป็นผ้าคลุมที่ใช้ในพิธีกรรมต่าง ๆ ของชาวมาวรี ในปัจจุบัน ชาวมาวรีเลิกล่านกกีวีแล้ว แต่จะใช้เฉพาะขนจากนกกีวีที่ตายแล้วเท่านั้น ชาวมาวรีเห็นว่านกกีวีเป็นเหมือนผู้พิทักษ์แห่งป่า
เหตุที่เรียกชื่อสามัญว่า "นกกีวี" มาจากเสียงร้องที่ฟังคล้ายกับคำว่ากีวี[5] นกกีวีถูกนำมาใช้เป็นเครื่องหมายในการสู้รบครั้งแรกในศตวรรษที่ 19 หลังจากนั้นไม่นาน เริ่มมีการใช้นกกีวีเป็นสัญลักษณ์ต่อ ๆ มาเรื่อย ๆ จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1906 ยาขัดรองเท้ายี่ห้อกีวี ได้นำนกกีวีมาเป็นสัญลักษณ์ แล้วมีการนำไปขายในยุโรป และ อเมริกา ซึ่งทำให้นกกีวีเป็นที่รู้จักมากขึ้น ทำให้ชาวต่างชาติเรียกชาวนิวซีแลนด์เล่น ๆ ว่า "กีวี" ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ทหารนิวซีแลนด์ได้แทนตัวเองว่า กีวี แล้วหลังจากกลับมาจากสงคราม ก็ได้แกะสลักรูปนกกีวีตัวใหญ่ ๆ ไว้บนเทือกเขาในประเทศอังกฤษ ยิ่งทำให้มีการเรียกชาวนิวซีแลนด์ว่า กีวี มากขึ้นอีก ต่อมานกกีวีได้ถูกใช้ต่อมาอีกหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็น เหรียญ, ตราสัญลักษณ์ หรือเกราะต่าง ๆ และเป็นสัตว์ประจำชาติของนิวซีแลนด์[7]

วิวัฒนาการ[แก้]

จากหลักฐานทางดีเอ็นเอพบว่านกกีวีมีสายพันธุกรรมใกล้เคียงกับนักบินไม่ได้ชนิดอื่น ๆ มาก เช่น นกกระจอกเทศนกโมอา ซึ่งเป็นนกที่บินไม่ได้ขนาดใหญ่ ที่สูญพันธุ์ไปแล้ว, นกอีมู และนกคาสซอวารี เป็นต้น โดยนกกีวีถือกำเนิดมาเมื่อกว่า 60 ล้านปีมาแล้ว เหตุนี้จึงทำให้นักวิทยาศาสตร์สรุปว่า ต้นกำเนิดของนกกีวีมาจากออสเตรเลีย พร้อม ๆ กับนกอีมู ด้วยการบินมา พร้อม ๆ กับการเกิดขึ้นมาของนิวซีแลนด์ สาเหตุที่ทำให้นกกีวีบินไม่ได้ เนื่องจากบนพื้นดินของนิวซีแลนด์มีอาหารอยู่เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังไม่มีสัตว์กินเนื้อ หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ซึ่งเป็นภัยคุกคามในธรรมชาติอยู่เลยในอดีต ฉะนั้นปีกจึงเป็นเหมือนอวัยวะส่วนเกินที่ไร้ความจำเป็น[3]

โดโด้

โดโด้





โดโด (อังกฤษdodo) เป็นนกท้องถิ่นที่พบได้เฉพาะบนหมู่เกาะมอริเชียสในมหาสมุทรอินเดีย เป็นนกที่บินไม่ได้อยู่ในตระกูลเดียวกับนกพิราบ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่าRaphus cucullatus
ในปี พ.ศ. 2048 ชาวโปรตุเกสเป็นชาวยุโรปพวกแรกที่พบ และเพียงประมาณปี พ.ศ. 2224 มันก็สูญพันธุ์อย่างรวดเร็วโดยมนุษย์ รวมถึงสุนัขล่าเนื้อ หมู หนู ลิง ที่ถูกนำเข้าโดยชาวยุโรป
โดโดไม่ใช่นกเพียงชนิดเดียวในมอริเชียสที่สูญพันธุ์ในศตวรรษนี้ จากนกกว่า 45 ชนิดที่พบบนเกาะ มีเพียง 21 ชนิดเท่านั้นที่เหลือรอด นกสองชนิดซึ่งเป็นญาติใกล้ชิดกับโดโดก็สูญพันธุ์ไปเช่นกัน คือ Reunion solitaire (Raphus solitarius) ประมาณปี พ.ศ. 2289 และ Rodrigues solitaire (Pezophaps solitaria) ประมาณปี พ.ศ. 2333 เมื่อทศวรรษ พ.ศ. 2533 วิลเลียม จ. กิบบอนส์ นำคณะสำรวจขึ้นค้นหาบนเขาบนเกาะมอริเชียส แต่ก็ไม่มีใครค้นพบ จึงประกาศการสูญพันธุ์อย่างเป็นทางการ

ลักษณะทางกายภาพ[แก้]

โครงกระดูกของโดโด
  • น้ำหนัก : โตเต็มที่หนักประมาณ 23 กิโลกรัม (50 ปอนด์)
  • สูง : ประมาณ 1 เมตร
ความรู้ปัจจุบันเกี่ยวกับโดโด มาจากทั้งบันทึกและข้อเขียนของกะลาสีและกัปตันเรือที่ขึ้นฝั่งมอริเชียส เมื่อ พ.ศ. 2143-พ.ศ. 2243 ภาพวาดจากผู้คนน้อยนิดที่เคยเห็นขณะพวกมันมีชีวิต (แม้ว่าจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าศิลปินเหล่านั้นตอกไข่ใส่สีโดโดจากที่เห็นบ้างหรือไม่)
ซากฟอสซิลเล็กน้อยที่ขุดค้นได้จากเกาะถูกเก็บรักษาที่บริติชมิวเซียม รอยเท้ารอยจิกถูกเก็บรักษาไว้ที่อ็อกซ์ฟอร์ด จากบันทึกและภาพเหล่านี้ นักวิทยาศาสตร์และนักปักษีวิทยาร่วมกันปะติดปะต่อรายละเอียดที่ประกอบขึ้นเป็นโดโด
ธันวาคม พ.ศ. 2548 พบหลักฐานสำคัญบนเกาะมอริเชียส พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งดับลินรวบรวมข้อมูลจากกระดูกเท้าและหัวที่ยังไม่บุบสลาย ซึ่งบรรจุเนื้อเยื่ออ่อนของสัตว์ชนิดนี้ ซากโดโดสต๊าฟชิ้นสุดท้ายที่พิพิธภัณฑ์ Ashmolean Museum ในอ๊อกซ์ฟอร์ดถูกเผาในปี ค.ศ. 1755 โดยสามารถกู้เท้าและหัวได้และถูกจัดแสดงถึงปัจจุบัน
โดโด ตัวใหญ่ อ้วนปุ๊กลุ๊ก ตัวใหญ่มาก หนักถึง 23 กิโลกรัม (50 ปอนด์) มีขนสีเทาถึงน้ำเงิน 23 เซนติเมตร (9 นิ้ว)
หัวมีสีเทาเทาอ่อนกว่าตัว ตาเล็กสีเหลือง ปากโต โค้งและเป็นตะขอ สีเขียวอ่อนหรือเหลืองเพล อันเป็นจุดเด่นที่สุด จะงอยปากค่อนข้างดำ มีจุดแดงเรื่อ ปกคลุมด้วยขนสีเทาอ่อนนุ่ม มีปุยสีขาวหยิกชูเชิดเป็นหาง
โครงสร้างหน้าอกไม่รองรับการบิน ปีกไร้ประโยชน์ที่เล็กมาก บอบบางเกินจะยกโดโดขึ้นจากพื้น จึงบินไม่ได้ ผู้คนที่เคยเห็นมักคิดว่ามันไม่มีปีก อย่างที่เขาเรียกว่า ปีกเล็กที่เล็ก (little winglets) เพราะเป็นนกบนพื้นดิน ที่วิวัฒนาการมาเฉพาะนิเวศวิทยาของเกาะ ซึ่งไม่เคยมีสัตว์นักล่า อย่างไรก็ตาม การศึกษาจากกระดูก โดโดอาจใช้ปีกง่ายกว่าการบิน นั่นคือใช้ว่ายอย่างปีกเพนกวิน
ขาสั้น อ้วนเตี้ย หนาแข็งแรง สีเหลือง มีนิ้วเท้าหนากลม 4 นิ้ว 3 นิ้วข้างหน้าและ 1 นิ้วโป้งอยู่ข้างหลัง มีเล็บสีดำ
ใครเห็นต่างก็ประหลาดใจในรูปร่างและขนาดพิลึกกึกกือ

แหล่งที่อยู่[แก้]

หมู่เกาะแห่งมอริเชียส เป็นบ้านของแหล่งนิเวศหลากหลาย ทั้งที่ราบ ภูเขาลูกเล็ก ป่าโปร่ง ป่าดิบ และแนวปะการังขนานตลอดชายฝั่ง ป่าดงดิบเขตร้อน ป่าละเมาะเขตร้อน ทุ่งหญ้าสะวันนาเขตร้อน
แม้ว่าภาพและเรื่องประมาณมากมายจะสื่อว่าโดโดอยู่ตามชายฝั่งทะเลของมอริเชียส แต่ที่จริงมันเป็นนกป่า โดโดทำรังอย่างง่าย ๆ บนพื้นป่า

อุปนิสัยการกิน[แก้]

เชื่อว่า กินผลไม้เป็นอาหาร กะลาสีบางคนคุยว่าเคยเห็นโดโดลุยลงสระน้ำไปจับปลา อ้างว่า มันเป็นนักล่าที่แข็งแรงและจอมเขมือบ ซึ่งกล่าวเกินจริง
อย่างไรก็ตาม อาจเป็นความจริงที่ว่า โดโดกินหินและก้อนโลหะบ่อย ๆ อย่างไม่เดือดร้อน คาดว่าหินช่วยให้ย่อยง่าย (ซึ่งเป็นธรรมดาพบเห็นได้บ่อย ที่สัตว์กินพืชเช่นนกหรือวัว กลืนหินลงกระเพาะ เพื่อช่วยบดพืชซึ่งย่อยยาก)
ภาพของโดโดนั้น อ้วน งุ่มง่าม ถูกค้านโดย แอนดรูว์ คิทเชนเนอร์ นักชีววิทยาจากพิพิธภัณฑ์แห่งชาติสกอตแลนด์ ในรายงานข่าวของเนชันแนลจีโอกราฟิก กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2545 ใครจะเชื่อว่า วาดเขียนเก่าแก่ทั้งหลาย วาดเกินจริง
ขณะที่ มอริเชียส อยู่ระหว่างฤดูฝนและหนาว โดโดอาจจะอ้วนขึ้น ด้วยผลไม้สุกเมื่อปลายฤดูฝน เพื่อให้รอดตลอดฤดูหนาวที่อาหารขาดแคลน ในรายงานเดียวกัน อ้างถึงคำกล่าวอ้างที่ว่า นกพวกนี้กินอย่างตะกละตะกรามหิวกระหาย ด้วยเหตุนี้ ขณะที่นกยังหาอาหารได้ ก็จะกินเกินพิกัดได้ง่าย ๆ
พวกมันมีชีวิตอยู่เป็นเวลากว่า 1,000 ปี บนมอริเชียส โดยปราศจากนักล่า ซ้ำยังเป็นสัตว์ตัวใหญ่สุดบนเกาะ (ก่อนหน้านี้มอริเชียสไม่เคยมีมนุษย์ชนพื้นเมืองมาก่อน)
การวิจัยเมื่อเร็ว ๆ นี้ได้ค้านคำอธิบายที่สืบเนื่องกันมา จากการตรวจวัดกระดูกจาก oxford ร่วมกับอีกกว่า 100 ชิ้นที่สะสมใน Natural History Museum and the Cambridge Zoology Museum นำมาคำนวณว่า น้ำหนักเท่าไหร่ที่มันจะแบกไหว
พบว่า โดโดที่อ้วนมาก จะหนักเกินกว่ากระดูกจะรับได้ ถึงขั้นกระดูกหัก ปะติดปะต่อใหม่ได้ว่า โดโดต้องผอมบางกว่าที่จินตนาการ

การสืบพันธุ์[แก้]

เฉพาะการจับคู่และระยะเวลาฟักไข่ ที่ไม่รู้ หลายคนอ้างว่า รังนกโดโด อยู่ลึกในป่า ในรังหญ้า
ที่นั่น ตัวเมียจะวางไข่ 1ฟอง ซึ่งมันจะปกป้องและเลี้ยงดู กะลาสีผู้หนึ่งเล่าว่า ได้ยินเสียงร้องของลูกโดโดที่อยู่ในรัง เสียงเหมือนลูกห่าน

พฤติกรรม[แก้]

ที่มาของชื่อโดโดมีแนวคิด 2 ทาง ที่ยอมรับกันทั่วไปคือ ภาษาดัชท์ dodaar หมายถึง เฉื่อยชา
อีกแนวคิดหนึ่งว่า มาจาก ภาษาโปรตุเกส doudo หมายถึง โง่เง่าตัวตลก
กะลาสีที่ขึ้นฝั่ง มอริเชียส พบความขบขันยิ่งนัก เมื่อเฝ้าดูพฤติกรรมงุ่มง่ามของโดโด มีเรื่องเล่าถึง โดโดที่พยายามวิ่งลนลาน ขณะที่มันกำลังเดินโซเซ พุงของมันจะลากไปกับพื้น ทำให้มันวิ่งช้า ทั้งโดโดก็ไม่กลัวคนด้วย
ส่วนใหญ่แล้วโดโดถูกกล่าวถึงในแง่ความเฉื่อยชา ค่อนข้างไปทางตลกโง่เง่า มันไม่มี กลไกการป้องกันตัวจากผู้ล่า ที่เห็นได้ชัด เว้นแต่ จะงอยปากใหญ่โต ซึ่งกัดได้อย่างน่ากลัว ถ้ามีจังหวะ แต่ปกติก็ไม่ค่อยได้ใช้ นอกจากเพื่อปกป้องตัวเองและลูกน้อย
ประกอบกับที่มันบินไม่ได้ด้วย เหตุผลเหล่านี้รวมกัน ทำให้ถูกล่าโดยง่าย

โดโดกับมนุษย์ และเหตุการณ์การสูญพันธุ์[แก้]

กะลาสี ล่ามันมาเป็นอาหารอยู่บ่อย ๆ เมื่อครั้งยังไม่สูญพันธุ์บนเกาะมอริเชียส แม้จะมักถูกกล่าวถึงว่า เนื้อโดโด ไม่อร่อย แต่ก็ยังถูกล่ามากมาย เพราะจับง่าย บางครั้งกะลาสีนำกลับมาได้ถึง 50 ตัวในครั้งเดียว ถ้ากินไม่หมด ก็ดองและนำกลับไปด้วย
เกาะนี้ถูกค้นพบครั้งแรกโดยชาวโปรตุเกส แต่ชาวดัตช์เป็นผู้ยึดครองอย่างถาวรแท้จริง เชื่อว่า กะลาสีกลุ่มแรกที่มาถึง มอริเชียส เป็นชาวโปรตุเกส นำโดยกัปตัน มาสคาแร็กนาส ใน พ.ศ. 2048-พ.ศ. 2050 พวกเขาตั้งใจไปตั้งถิ่นฐานด้วยความหวังในแอฟริกาใต้ แต่ติดพายุทำให้ติดเกาะและลงเอยที่ มอริเชียส คณะเดินทางอื่น ๆ หลังจากโปรตุเกสในปีต่อ ๆ มา มีทั้งดัทช์ บริติช และอื่น ๆ
นกโดโด กะลาสีได้พบขบขัน และเมื่อพวกเขาขาดอาหารประทังชีวิต ก็ได้อาหาร ชาวดัตช์ ประกาศ มอริเชียส เป็นอาณานิคม เรือนำแมว สุนัข หมู และลิง มาพร้อมกับผู้คนกลุ่มหนึ่ง สัตว์ต่างถิ่นแพร่พันธุ์และรุกรานป่าอย่างรวดเร็ว เหยียบย่ำรังนก ทำให้นกเสียขวัญ ล่าทำลายไข่กับลูกอ่อนของโดโด
ทั้งการล่าเป็นอาหารอย่างต่อเนื่องจากมนุษย์ ประกอบกับการแทรกแซงจากสัตว์ต่างถิ่น นำมาสู่การสูญพันธ์ ประมาณ พ.ศ. 2236
เดวิด รอเบิตส์ (David Roberts) แถลงการสูญพันธุ์ของโดโดอย่างเป็นทางการถึง ซึ่งยืนยันการพบเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อ พ.ศ. 2205 ที่รายงานโดยกะลาสีเรืออับปาง วอลเกนต์ เอเวอร์ตซ (Volkert Evertsz) ซึ่งตรวจพบต่อมาใน พ.ศ. 2224 โรเบิร์ตชี้ว่า จากการที่คำบอกเล่าของอธิการโบสถ์ พ.ศ. 2181-พ.ศ. 2205 ดูเหมือนว่ามันจะหาได้ยากแล้วเมื่อ พ.ศ. 2203 อย่างไรก็ตาม ทางสถิติวิเคราะห์ จากบันทึกการล่าของ ไอแซค โจน ลาโมเทียส ได้คะเนเวลาที่สูญพันธุ์ ใน พ.ศ. 2236 และเชื่อมั่นถึง 95% ว่าเกิดขึ้นในช่วง พ.ศ. 2231-พ.ศ. 2258
ที่แน่ชัดคือ โดโดถูกฆ่ามากภายใน 100 ปีหลังการค้นพบสปีชีส์นี้ ไม่มีตัวอย่างที่สมบูรณ์ถูกรักษาไว้ แม้แต่สักพิพิธภัณฑ์ที่จะเก็บกระดูกมันไว้ ไข่โดโดใบหนึ่งถูกจัดแสดงที่ East London museum ในแอฟริกาใต้
หลักฐานทางพันธุกรรมมาจากสิ่งนี้ เมื่อวิเคราะห์ดีเอ็นเอ ยืนยันว่าโดโดเป็นญาติใกล้ชิดกับนกพิราบ ซึ่งมีถิ่นกำเนิดคาบเกี่ยวกัน คือในแอฟริกาถึงเอเชียใต้
ไม่มีใครสนใจอย่างจริงจังในการสูญพันธุ์ของมัน กระทั่งถูกเอาชื่อไปเป็นตัวละครในนิยาย อลิซผจญภัยในแดนมหัศจรรย์ ของ ลูอิส คาร์รอลล์ ทำให้เกิดคำสแลงว่า "ตายอย่างโดโด"
มีความพยายามที่จะนำโดโดกลับมามีชีวิต ถ้าสำเร็จผู้ดำเนินการจะได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวดูนกที่ไม่เหมือนใครทั่วยุโรป แสดงพวกมันในกรงและสาธิตนกกินหินกินเหล็กดังที่ตำนานอ้างไว้

วงศ์ ราฟิเด และนกสายพันธุ์ใกล้กัน[แก้]

โดโดถูกจัดหมวดหมู่ไว้ในตระกูล Raphidae แบ่งย่อยมาอยู่ในวงศ์ Columbiformes ซึ่งเป็นวงศ์หนึ่งจาก 2 วงศ์ที่อยู่ในตระกูลนี้ อีกวงศ์หนึ่งคือ Columbidae ซึ่งได้แก่ นกพิราบและนกเขาทั้งหลาย
นกตระกูลเดียวกับโดโด ที่เรียกว่า นกช้อน หรือ โซลิแตร์ ถูกรายงานโดยกะลาสีที่อาศัยบนเกาะใกล้ ๆ มอริเชียส ปี พ.ศ. 2156 พบ Reunion solitaire หรือ Raphus solitarius บนเกาะเรอูว์นียง (reunion) และปี พ.ศ. 2234 พบ Rodrigues solitaire หรือ Pezophaps solitarius บนเกาะร๊อดริเกส (rodrigues) ซึ่งพันธุ์หลังได้สูญพันธ์เช่นกัน ระหว่างปี พ.ศ. 2303 ไม่มีหลักฐานใดรองรับการมีอยู่ของ Reunion solitaire นักปักษีวิทยาเชื่อว่า นกที่เห็นแท้จริงคือนกช้อนบินไม่ได้บนเกาะเรอูว์นียง หรือ Threskiornis solitarius ซึ่งก็สูญพันธุ์ไปเช่นกัน เพราะมันสืบพันธุ์ด้วยกัน จึงถูกเรียกว่า โดโดสีขาว อย่างที่นักเดินทางอธิบายว่า นกช้อนบินไม่ได้ ที่ถูกต้องเป็นสีขาวเป็นหลัก และอย่างที่ปรากฏในภาพเขียนบางชิ้นของโดโดสีขาว เชื่อว่าแสดงถึง โดโดตัวปลอมที่ถูกทึกทักแห่งเกาะเรอูว์นียง
อย่างไรก็ตาม คำพรรณนาน้อยนิดที่ให้ความชัดเจนว่า ปีกและหางของ Reunion solitaire มีสีดำ เหมือนที่พบได้ใน นกช้อนคอถุง (Sacred Ibis) ญาติใกล้ชิด ขณะที่ภาพวาดแสดงให้เห็นว่านกเป็นสีขาวทั้งตัว (ไม่นับว่ากรณีเป็นไปได้ว่าเป็นรอยเปื้อนสกปรกของขน)
ภาพวาดส่วนมาก เป็นนกที่ขังในโรงเลี้ยงชาวยุโรป จะแสดงปากที่เป็นวง ไม่ใช่แค่ตะขอ ดูเหมือนใช้เป็นสัญญาณเตือนป้องกันผู้บุกรุก (นักเดินทางอ้างว่า ถ้าต้อนเข้ามุมโดโดจะกัดโมโหร้ายทีเดียว ขนาดคาดหวังให้เฝ้าสินค้าสำคัญทั้งกองได้)
ภาพวาดโดโดสีขาวจากแหล่งที่คล้ายกันส่วนใหญ่มี โดโดเผือก เพียงน้อย บางทีอาจมีเพียงหนึ่ง ที่ถึงมือชาวยุโรปและถูกเก็บรักษาอย่างสนใจใคร่รู้
Dodo skeleton head.jpg
Dodo skeleton foot.jpg
ดร.อลัน คูเปอร์ กับ ดร.เบธ ชาปิโร จาก ศูนย์ชีวโมเลกุลโบราณเฮนรีเวลคัมแห่งอ๊อกซ์ฟอร์ด, ดร.ดีแอน ซิบธอร์ปี, แอนดรูว์ แรมบอต, ดร.แกรแฮม แวรกก์, ดร.โอลาฟ บ.อีมอนด์ส กับ ดร.แพทรีเซีย ลี จากภาควิชาสัตววิทยาแห่งอ๊อกซ์ฟอร์ด, และ ดร.เจเรมี ออสติน จากพิพิธภัณฑ์ประวัติธรรมชาติลอนดอน ร่วมกันวิจัย ในปี พ.ศ. 2545 สกัดชิ้นส่วนเล็กน้อยของดีเอ็นเอโดโด ตัวอย่างถูกนำมาจาก หลักฐานชิ้นเดียวซึ่งมีเนื้อเยื่ออ่อน อายุ 300 ปีที่หลงเหลือ จากพิพิธภัณฑ์ประวัติธรรมชาติมหาวิทยาลัยอ๊อกซ์ฟอร์ด
ทั้งสกัดดีเอ็นเอจากกระดูกของโซลิแตร์ด้วย กระดูกขุดจากถ้ำบนเกาะร็อดริเกส ผลลัพธ์การวิเคราะห์แสดงว่าโดโดและ โซลิแตร์ เป็นญาติใกล้ชิดกันมาก และแยกมาเล็กน้อยจากวงศ์ของ นกพิราบ
ผลของดีเอ็นเอสรุปว่าโดโดและโซลิแตร์ ที่จริงเป็นอยู่ในตระกูลเดียวกับตระกูลนกพิราบ และเป็นญาติใกล้ชิดกับพิราบนิโคบาร์ หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Caloenus nicobarica
ในปี พ.ศ. 2516 นักวิทยาศาสตร์พบว่า พันธุ์ไม้บนมอริเชียสที่ชื่อ ต้นโดโด หรือชื่อวิทยาศาสตร์ Sideroxylon grandiflorum หรือ Calvaria major กำลังผลัดใบ มีเพียง 13 ตัวอย่าง ที่ไม่พบรายงาน และพวกมันทั้งหมดอายุประมาณ 300 ปี นับจากโดโดตัวสุดท้ายถูกฆ่า พบว่านกโดโดกินเมล็ดของต้นโดโดแล้วเมล็ดก็ผ่านทางเดินอาหารของโดโด ออกมาทางอุจจาระ และตื่นตัวเริ่มงอก หลังจากที่พบว่าเกิดผลแบบเดียวกันกับการให้ไก่งวงกินเมล็ดนี้ พันธุ์ไม้นี้จึงยังคงอยู่รอด
อย่างไรก็ตาม รายงานเมื่อเร็ว ๆ นี้สืบพบว่า ตัวอย่างพืชรุ่นใหม่ ไม่ได้ด้อยลง อาจเป็นไปได้ที่ นกแก้วจะงอยกว้างที่สูญพันธุ์แล้ว หรือ Lophopsittacus mauritianus ต่างหาก ที่มีความสำคัญต่อการกระจายเมล็ด ยิ่งกว่าโดโด รายละเอียดเพิ่มเติม ให้ศึกษาจากบทความเกี่ยวกับ ต้นโดโด (dodo tree)

กลายเป็น สัญลักษณ์ และความนิยม[แก้]

Alice wonderland dodo.jpg
  • ปรากฏอยู่บน เสื้อเกราะของกองกำลังแห่งมอรีเชียส
  • เป็นตรายี่ห้อของ Brasseries de Bourbon ผู้ผลิตเบียร์ยอดนิยมบนเกาะเรอูว์นียง
  • เป็นสัญลักษณ์ และ มาสคอตนำโชคของ กองทุนอนุรักษ์สัตว์ป่าเดอร์เรล และเขตสงวนสัตว์ป่าเจอร์ซี่ ที่ก่อตั้งโดย Gerald Durrell
  • เป็นชื่อเล่น, สัญลักษณ์ และมาสคอตนำโชคของ องค์กรสิ่งแวดล้อมฟินนิช
  • ปรากฏเป็นที่รู้จักครั้งแรก ในนิยาย Alice's Adventures in Wonderland ของ Lewis Carroll ในปีพ.ศ. 2408 หนังสือมีตัวละครเป็นนกโดโด ที่ชื่อเรียบ ๆ ว่าโดโด ตัวละครนี้สะท้อนถึงตัวผู้ประพันธ์เอง
  • ปี พ.ศ. 2481 Bob Clampett กำกับการ์ตูนของ Looney Tunes ชื่อ Porky in Wackyland มีเจ้าหมูกำลังล่าโดโดตัวสุดท้ายไปทั่วทั้งดินแดนพิสดาร wackyland เจ้าโดโดในเรื่องสติเฟื่องพอกับถิ่นของมัน และมันก็หนีเจ้าหมูได้ทั้งเรื่อง ทศวรรษ พ.ศ. 2533 การ์ตูน Tiny Toon Adventures มีตัวละครเป็นนกโดโดชื่อ Gogo Dodo เป็นตัวละครที่ค่อนข้างเถื่อนและชอบรัดกอด และเป็นลูกชายของเจ้าโดโดจากเรื่อง Porky in Wackyland
  • หนึ่งในทีมแพทย์ จากเรื่อง Doctor Who ในปี 3 (พ.ศ. 2509) มีชื่อเล่นว่า Dodo เธอฉลาดและร่าเริง ไร้เดียงสา เป็นตัวของตัวเอง ทำให้นึกถึงบุคลิกของนกโดโด
  • ปี พ.ศ. 2530 หนังสือเรื่อง Dirk Gently's Holistic Detective Agency โดย Douglas Adams ในเรื่อง ศาสตราจารย์ Chronotis ว่าการที่โดโดสูญพันธุ์ เพราะเขาเอาเวลาไปโหมให้กับการอนุรักษ์ ปลาซีลาแคนธ์
  • ตอนหนึ่งของเรื่อง The Goodies ตัวละคร Bill Oddie ค้นพบสาเหตุการสูญพันธุ์ของโดโด คือพวกมันอร่อย
  • การ์ตูนเรื่องยาวของดัชท์ เจ้าโดโด Douwe Dabbert เปิดบริษัทท่องเที่ยว ในที่สุดก็พบ โดโดตัวเมียตัวสุดท้าย
  • ตอนท้ายของการ์ตูนดัชท์-ญี่ปุ่นเรื่องยาวเรื่อง Alfred J.Kwak Alfred เจอความลับ ใต้ทะเลเป็นแหล่งอพยพโดโดจากการสูญพันธุ์
  • ปี พ.ศ. 2524 วง Genesis แต่งเพลงในอัลบั้ม Abacab ชื่อเพลง โดโด/นักซุ่ม ปี พ.ศ. 2538 อัลบั้มรวมชุด Sound+Vision ของ David Bowie ซึ่งรวมเพลงเก่าที่ยังไม่เคยจำหน่ายตั้งแต่ พ.ศ. 2516-พ.ศ. 2527
พร้อมเพลงใหม่ชื่อโดโดชุดนี้จำหน่ายซ้ำในปี 2003 * ปี 1996 ตอนหนึ่งของการ์ตูนเรื่องยาว The Simpsons (ตอน Homer the Smithers) คุณเบิร์น สั่งให้ โฮเมอร์ เตรียมไข่โดโดเป็นอาหารกลางวัน เป็นมุกหนึ่งที่สื่อว่าตัวละคร คุณเบิร์น หลุดโลกาภิวัฒน์
  • ปี พ.ศ. 2542 Aimee Mann เขียนถึงโดโดในอัลบั้ม Bachelor No.2 หรือ The Last Remains of the Dodo แต่ไม่มีเพลงใดเกี่ยวกับโดโดเลย
  • ปี พ.ศ. 2544 วิดีโอเกม Grand Theft Auto III เครื่องบินชื่อ Fully-winged Dodo บินอยู่เหนือเมือง ณ สนามบิน Liberty City แม้ว่าจะดูบินไม่ได้ เพราะปีกหัก เป็นมุกล้อนกโดโด แต่เครื่องนี้ผู้เล่นก็ขับบินได้ (อย่างยากเย็น)
เครื่องบินโดโด ปรากฏตัวอีกครั้งใน The Dodo reappears in Grand Theft Auto: San Andreas เป็นฉากสนามบิน Las Venturas
  • ปี พ.ศ. 2545 ภาพยนตร์การ์ตูน Ice Age กล่าวถึง กองทัพโดโด ในยุคน้ำแข็ง ที่พยายามเอาตัวรอดจากการสูญพันธุ์ โดยสะสมแตงโมในยามฉุกเฉิน ปรากฏว่าเหลือแตงโมแค่ 3 ลูก ในที่สุดทั้งหมดก็ตกลงเหวไป พร้อมโดโดจำนวนหนึ่งที่พยายามปกป้องแตงโม เป็นมุกว่าความเซ่อซ่าของมัน เป็นเหตุให้ใกล้สูญพันธุ์
  • ปี พ.ศ. 2546 อัลบั้มของ Dave Matthews ชุด Some Devil begins มีเพลงชื่อ Dodo เป็นฮาร์โมนิกนุ่ม ๆ เนื้อเพลงทำให้เป็นไปได้ว่ารู้สึกถึง อารมณ์ของโดโดตัวสุดท้ายมีชีวิตในโลก ไม่มีการสื่อถึงนัยลักษณะของโดโด แต่ก็เป็นเพลงเปิดอัลบัมที่ดีทีเดียว
  • ในหนังสือ สัตว์มหัศจรรย์และถิ่นที่อยู่ (Fantastic Beasts and Where to Find them) ซึ่งสมมติว่าเป็นหนังสือจากห้องสมุดของโรงเรียนพ่อมด จากนิยาย Harry Potter โดโดถูกเขียนถึงในชื่อ ดิริคอว์ล (Diricawl) หนังสืออ้างว่า มันเป็นสัตว์วิเศษ ที่สามารถหายตัวจากที่หนึ่ง ไปปรากฏอีกที่ได้ ทำให้ มักเกิ้ล (คนที่ไม่มีเวทมนตร์) เข้าใจผิดว่าว่า ดิดริคอว์ลหรือโดโด สูญพันธ์ และพ่อมดก็เก็บความลับไว้ต่อไป เพราะความเชื่อเรื่องการสูญพันธุ์ ทำให้มักเกิ้ลระมัดระวังในการล่าสัตว์
  • ในตอนหนึ่งของการ์ตูน Superman: The Animated Series ชื่อตอน The Main Man ตัวร้ายชื่อ The Preserver มีโดโดที่มีชีวิตอยู่ในสิ่งแวดล้อมจำลอง ตอนจบ ซุปเปอร์แมนนำโดโดกลับสู่เขตสงวน
  • สำนักพิมพ์ DC Comics ทำการ์ตูนเรื่องยาว ตั้งแต่ทศวรรษ พ.ศ. 2483-พ.ศ. 2503 ในชื่อ The Dodo and the Frog มีโดโดชื่อ Dunbar ที่ทึ่มและทำตามแผนของกบชื่อ Fennimore อยู่บ่อย ๆ ภาค2 ในทศวรรษ 1980 เกี่ยวกับ กัปตัน Carrot และลูกเรือสวนสัตว์อัศจรรย์ของเขา
  • ใน Underground Humor magazine เรียก กองทัพอากาศสหรัฐว่าโดโดซึ่งล้อตรามาสคอตนำโชครูปนกอินทรี ปีต่อ ๆ มา คำว่าโดโดก็ถูกเซ็นเซอร์และสงวนโดย ผู้นำกองทัพ ตั้งแต่นิตยสารดีพิมพ์ในปี พ.ศ. 2500 แต่ที่เห็นชัดที่สุดคือในอินเทอร์เน็ต eDoDo ที่ถูกใช้ไม่ขาดโดย บัณฑิตและนักเรียนนายร้อยที่เล่นเว็บบอร์ด
Pkmn 084 doduo.png
  • ในการ์ตูนเรื่องยาวเรื่อง โปเกมอน มีตัวละครหนึ่งเป็นนกโดโด ชื่อว่า Doduo มีสองหัว และสามารถวิวัฒนาการเป็นสามหัว ชื่อว่า Dodrio
  • ในวิดีโอเกม Blazing Dragons หนึ่งในตัวร้ายใช้โดโดขนส่งภาคพื้นดิน เพื่อนำเครื่องบินเครื่องจักรไอน้ำของ Flicker ไปยังปราสาทของ Sir George หลังจากนกอินทรีขนส่งทางอากาศของเขาออกจาหน้าต่าง โดยไม่ได้นำเครื่องบินของเขาไปด้วย
  • ในนิยาย The Thursday Next ของ Jasper Fforde Thursday โลกในนิยาย โดโดถูกเพาะเป็นสัตว์เลี้ยง ด้วยการโคลนจากดีเอ็นเอ